Page 60 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 60
42
มาเป็นเวทนา เปลี่ยนจากเวทนามาไปเป็นอารมณ์อื่น เพราะฉะนั้น อารมณ์ ไหนปรากฏขึ้นมา ก็ให้รู้ต่อไปว่าเขาเกิดดับยังไง
การที่เรารู้ว่ามีเวทนาหรือลมหายใจ แล้วรูปส่วนอื่นหายไปนี่ ตรงนั้น ดีแล้ว ไม่ต้องไปหาหรอก เพราะเมื่อไหร่ที่เราเห็นความเป็นรูปแต่ละส่วน แต่ละส่วน แล้วเกิดเข้าไปยึด ก็จะเป็นอุปาทาน แต่โดยธรรมชาติของจิตเรา รู้ส่วนไหนเขาจะรู้เฉพาะตาแหน่ง เว้นแต่เราใส่ใจ อยากดูส่วนนี้เป็น ยังไง ส่วนนี้เป็นยังไง เพราะฉะนั้น ที่ถามว่า เรารู้อาการเกิดดับของลมหายใจ กับเวทนา อารมณ์อื่นไม่รู้ จริงๆ ก็คือว่าอารมณ์ไหนก็ตามที่ปรากฏชัดใน ปัจจุบัน ให้กาหนดรู้อาการเกิดดับของอารมณ์นั้น ไม่ใช่เฉพาะลมหายใจ หรือเวทนา
โยคี (๒) : มีครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่า สติปัฏฐาน ๔ นี่เปรียบ เหมือนกับทางเข้าเมือง ๔ ทางครับ เข้าทางใดทางหนึ่งก็เข้าเมืองได้เหมือน กันหมด ก็เหมือนกับการพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา ไม่จาเป็นจะ ต้องไปดูจิต ก็สามารถบรรลุธรรมได้เหมือนกัน ท่านพระอาจารย์เห็นอย่างไร ครับ ?
พระอาจารย์ : ท่านหมายถึงระดับไหน อาจารย์ไม่แน่ใจนะ แต่ว่า สภาวะการดูกายในกาย ดูเวทนาในเวทนา ดูจิตในจิต และดูธรรมในธรรม สภาวธรรมตรงนี้นี่เขาไม่เคยเกิดอย่างเดี่ยว ๆ สังเกตไหม ที่บอกว่าไม่ได้ เกิดอย่างเดี่ยว ๆ ก็คือว่า อย่างเช่น เราดูลมหายใจสักพัก เวทนาก็เกิดขึ้น พอดูเวทนาสักพัก ใจเราก็จะรู้สึกดี ใส หรือขุ่นมัว เราก็จะเห็นจิตทันที เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เรียกว่าดูที่เวทนาแล้วจะไม่เห็นจิต ขณะที่รู้เวทนาแล้ว ไม่เห็นสภาวธรรม เพราะตัวเวทนาเองก็คือสภาวธรรม แต่ทีนี้ ที่บอกว่าเรา อาศัยอย่างใดอย่างหนึ่งก็เข้าถึงธรรมะได้ ไม่ว่าจะเป็นดูกายในกาย ดูเวทนา ในเวทนา ดูจิตในจิต หรือดูธรรมในธรรม อยู่ที่ว่าขณะนั้นสภาวะตรงไหนชัด ที่สุด ก่อนที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น... อาจจะเป็นลักษณะอย่างนั้น