Page 12 - มิติธรรม
P. 12
6
ทุกครั้งที่เห็นชองวางระหวางอารมณ ความมีตัวตนจะหายไป “อนัตตามีจริง”
สรุป จะตองมีความรูสึกตัวในทุก ๆ อิริยาบถใหญ-นอย และ ทุก ๆ อาการอยูตลอดเวลา อาการรูอยางนี้เรียกวาสติ-สัมปชัญญะ อารมณท่ีถูกรูในลักษณะนี้เรียกวา “ปจจุบันอารมณ” ทุก ๆ อารมณ ทุก ๆ อาการ ไมวาจะเปนอารมณภายในหรือภายนอกก็ตาม จะตอง รูอยางรูสึกตัวจึงจะเรียกวาทันปจจุบัน สังเกตไดจากกาย-ใจมีความ ตื่นตัวมากขึ้น อายุของความตื่นตัวยาวนานขึ้น
เมื่อจับความรูสึกไดในขณะแรก จะมีอาการสลัว ๆ เมื่อทําซ้ํา หลาย ๆ ครั้ง ความสลัวจะคอย ๆ ใสขึ้น ทําซ้ําอีกหลาย ๆ ครั้ง ก็จะ พบกับความใส เบา โลง ไมวาจะอยูในอิริยาบถใดก็ตาม ความรูสึก จะตองปรากฏพรอมกับอารมณที่รับรู อารมณที่เกิดขึ้นบางคร้ัง ใหใชวิธีกําหนด บางครั้งตองอาศัยการคิด พิจารณา ทั้งนี้ขึ้นอยูกับ เหตุการณและสถานการณนั้น ๆ
ที่สําคัญจะตองใหทุก ๆ อารมณปรากฏอยูในความรูสึก เชน ใหอาการเดินปรากฏอยูในความรูสึก ใหอาการนั่งปรากฏอยูในความ รูสึก ใหอาการคิดปรากฏอยูในความรูสึก ใหอาการเห็นปรากฏอยูใน ความรูสึก ใหอาการยิ้มปรากฏอยูในความรูสึก ใหอาการพูดปรากฏ อยูในความรูสึก เมื่อทําไดอยางนี้จะเห็นธรรมชาติของรูป-นามไดอยาง ชัดเจน
ทําอะไรก็ตามจะตองมีความรูสึกตัวนําหนากอนนิดหนึ่งเสมอ ความรูสึกตัวกอนนิดหนึ่งนี้เรียกวา “ตนจิต”
การเลาสภาวะใหเริ่มเลาจากเหตุไปหาผลหรือจากผลไปหาเหตุ เสียงคร่ําครวญเกิดจากเลาเฉพาะเหตุหรือผลเพียงอยางเดียว