Page 44 - มิติธรรม
P. 44
38
๔๒. ขณะนั้นจัดเปนเจตนาที่ไมประกอบดวยสติ จึงทําใหเขาใจผิด ไดวาไมมีเจตนา
๔๓. ฉะนั้นผูที่ขาดสติ จึงมีโอกาสไปสูอบายภูมิไดมากกวาผูมีสติ
๔๔. ถาบุคคลนั้นพอใจในสภาพของตนเอง ไมตองพูดโนมนาว ใหเขาปฏิบัติ เพราะไมเกิดประโยชน
๔๕. ความวางของพระอรหันตนั้น เปนความวางหยุดโลก ไมหมุน ไมคลอยตาม ทุกสิ่งทุกอยางคลายกับไมเคลื่อนไหว ไมมีอารมณใด พิเศษ เบาไมมีน้ําหนัก ทุก ๆ อารมณไมเหลือเศษ ทุกอยางเงียบ สงบ คลายคนประสาทหูดับท้ังสองขางอยางกะทันหัน
๔๖. เมื่อสติมีกําลัง จิตจะหดสั้นเปนหนึ่ง มั่นคง อารมณปรมัตถ จะปรากฏในลักษณะ ๓ ขณะ ถาไมทิ้งการปฏิบัติ โอกาสที่จะเขาถึง มรรค ผล นิพพาน จึงอยูแคเอื้อม
๔๗. วาจาของพระอรหันตไมมีการปรุงแตง หรือบิดเบือน บางมีวาจา แข็งกระดาง บางก็พูดดี ลวนเปนบุพกรรมที่สรางมาแตอดีตแกไมได
๔๘. ทุกขใจเกิด เพราะไปเกาะเกี่ยวอยูกับอารมณในอดีต หรืออนาคต ๔๙. นักปฏิบัติที่ดีตองตรงตอเวลา ทันตอเหตุการณ
๕๐. โมหะกับปญญา ไมสามารถเกิดรวมกันได เหมือนแสงสวาง
กับความมืด
๕๑. ทุกครั้งที่มีสติ ปญญาเกิด ความหลงไมรูหมดไป เห็นตาม
ความเปนจริงวา สัตว บุคคล ตัวตน เราเขาไมมี จะมีก็เพียงแต รูปนาม เทานั้น
๕๒. เมื่อขาดสติ โมหะเขาครอบงํา ความมืดเขาปกคลุมจิต รูปนามถูกปด สัตว บุคคล ตัวตน เรา เขาจึงเกิดขึ้น
๕๓. จิตที่มีกิเลสตองอาศัยสติชะลาง จึงจะผองใส