Page 46 - มิติธรรม
P. 46
40
๑๕. เปนสภาวปรมัตถไมมีเศษของบัญญัติปะปนอยู ๑๖. ไมมีอาการดิ้นรน กระวนกระวาย หรืออึดอัด
๑๗. ไมมีอาการนึกคิดหรือปรุงแตง ๑๘. ไมมีมโนภาพหรือสีสัน
๑๙. ไมมีความกังวลหรือหวงใย ๒๐. ไมดีใจ หรือเสียใจ
๒๑. ไมมีความอาลัย หรือตื่นกลัว
๒๒. ไมมีความปรารถนาหรือปฏิเสธ
๒๓. เปนความรูสึกอิสระจากทุกสิ่งทุกอยาง
๒๔. ยิ่งมีความออนกําลังมากเทาไร ใจรูยิ่งเงียบ สงบ สบาย
และยิ่งเขาใกลวาระสุดทายมากเทาไร ใจรูที่เงียบ สงบ สบาย จะยิ่ง กลืนเขากับบรรยากาศมากเทานั้น เปนความเงียบ สงบ สบายที่ไมมี อะไรเหลือ ซึ่งเปนอาการรับรูครั้งสุดทายกอนที่รูปนามจะสิ้นสุด
๒๕. อาการรับรูครั้งสุดทาย จะเปนตัวประกาศใหรูวา ไมตองเกิดอีก บุคคลผูหวังความหลุดพน จะตองมีความศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ
๒๖. สติมีการเตือนเปนลักษณะ เตือนใหรูจักกุศล อกุศล แยกแยะ ผิด ถูก มีโทษหรือไมมีโทษ เมื่อขาดเสียซึ่งสติจึงไมสามารถแยกแยะ ได
๒๗. จองเวรขามภพขามชาติ เกิดจากการตั้งจิตขณะที่มีมิจฉาสมาธิ ๒๘. อายตนะเกิดจากกรรมตางกัน ไมไดเกิดจากกรรมอยางเดียวกัน ๒๙. ผูที่ยังมีกิเลส อารมณตาง ๆ ที่เกิดขึ้นไมวาจะเปนอารมณ
ภายนอกหรือภายใน อารมณเหลานี้จะเปนตัวบังคับจิตใหปรุงแตงไป ตาง ๆ นานา