Page 47 - มิติธรรม
P. 47
๓๐. ขณะที่มีโลกุตตรสติ จิตจะเปนอิสระจากอารมณตาง ๆ
๓๑. สภาวะที่เคลื่อนไหว สลาย หรือแตกกระจาย จะตองใชความ รูสึกหยุดนิ่งเปนตัวดู
๓๒. อาการของเวทนาที่แสดงความเปนกลุมกอน หนัก หรือหยุดนิ่ง ใหเอาความรูสึกเขาไปในเวทนา รูแลวปลอย ๆ ๆ อาการของเวทนาจะ คอย ๆ กระจายออก ความโปรง เบา จะมีกําลังมากขึ้นพรอมกับเวทนา ก็เริ่มนอยลง
๓๓. วิธีสรางตัวแกรง ใหเริ่มจากจิตมั่นคงกอน จิตมั่นคงจะเกิดขึ้น ไดตัวมุงตองมีกําลัง
๓๔. โลกุตตรสติจะเกิดขึ้นได ตองอาศัยสามัญสติเปนบาทก
๓๕. อริยบุคคลมีความสุขไมเทากัน บางก็แหงแลง บางก็สดชื่น ทั้งนี้เกิดจากกรรมในอดีตและปจจุบันของแตละคนไมเทากัน
๓๖. การเหวี่ยงแขนจนสุดในขณะเดิน ทําใหขาดสติไดงาย เพราะ ขณะสุดทายของการปลอยแขนขาดตัวบรรจง
๓๗. ตัวมุงจะเกิดขึ้นได ตองอาศัยสมาธิ
๓๘. สมาธินั้นมี ๒ อยาง ไดแก สัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ
๓๙. สัมมาสมาธิเปนสมาธิที่ประกอบดวยกุศลจิต มีลักษณะเบา
๔๐. มิจฉาสมาธิเปนสมาธิที่ประกอบดวยอกุศลจิต มีลักษณะหนัก
๔๑. ไมวาจะเปนสัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ ถาประกอบดวยตัว มุงที่มีกําลัง แลวนึกคิดใหตนเองเปนไปตาง ๆ นานา นั่นคือการอธิษฐาน จิต
๔๒. การอธิษฐานจิตนั้น ไมสามารถอธิษฐานใหผูอื่นเปนไปตาง ๆ นานา ได
๔๓. ปญญามีการตัดเปนลักษณะ คือเห็นอาการเกิดดับนั่นเอง
41