Page 75 - มิติธรรม
P. 75

69
๓. เมื่อเกิดอาการวางใส ใหสังเกตความวางใสนั้นวามีตัวตน หรือไม ? และเมื่อยังไมมีอารมณอื่นปรากฏใหสังเกตความรูสึกที่รับรู วามีอาการเกิดดับหรือไมอยางไร ?
๔. เมื่อเกิดความรูสึกเบา ใหเอาความรูสึกเบานี้รับรูอารมณ จะรู ไดทั้งกวางและไกล
๕. เมื่ออารมณตาง ๆ ปรากฏอยูในมโนทวาร ธรรมชาติของรูปนาม จะปรากฏชัด จิตทํางานไวขึ้น
๖. วิธีรับประทานอาหารอยางไมมีกิเลส จะตองมีสติแยกธาตุ รูเพียงภาวะของธาตุ ๔ เทานั้น
๗. ตองการขยาย เวทนาทางกาย จะตองขยายที่ความรูสึกที่รับรู อาการเวทนาที่เกิดขึ้นเทานั้น
๘. ใชความรูสึกรับรูอารมณไดแลว ยังตองเห็นความรูสึกไดดวย จึงจะไดปจจุบัน
๙. ใหเกาะติดกับทุก ๆ อาการขณะเล็กของอารมณที่ปรากฏขึ้นมา จะเห็นอาการพระไตรลักษณ(อาการเกิดดับ)ปรากฏ อยูในทุก ๆ ขณะเล็ก ของอารมณนั้น
๑๐. ความเปนกลุมกอนของบัญญัติแตกเกิดไดเฉพาะรูปเทานั้น เพราะรูปบัญญัติมีลักษณะเปนกลุมกอน
๑๑. จิตขาดสติคอยควบคุม เปรียบเสมือนเรือที่ขาดหางเสือ เมื่อ ตองการฝกจิตใหมีสติ จึงตองเริ่มฝกตั้งแตเริ่มคิด พูด ทํา ไปจน ถึงอิริยาบถใหญ - นอย
๑๒. ใหสังเกตอาการกระทบแลวหายของแตละขณะวาเหมือนกัน หรือไมอยางไร ?
๑๓. ไมวาการดู การฟง การกระทําตาง ๆ นั้น จะดวยเหตุผลใด


































































































   73   74   75   76   77