Page 210 - มรรควิถี
P. 210
196
มารูรูปนาม รูอาการเกิดดับของรูปนาม เปนเนือง ๆ หรืออยางตอเนื่อง ดวยความมุงมั่น มีเปาหมายที่ชัดเจน แลวก็จนสิ้นสุดอาสวะกิเลสได นั่น แหละเราถึงจะไมตองกลับมาเปนทุกข เจอกับเรื่องราวที่ทําใหเราตองเปน ทุกขอีกตอไป เพราะฉะนั้นสิ่งสําคัญอีกอยางที่ตองฝากเอาไว
ถาเราอยากจะดับความทุกขใหเร็ว จงดับความรูสึกวาเปนเรา ดับ ความรูสึกวาเปนเราใหเร็วที่สุด นั่นคือการตองใชปญญา การกําหนดรูทันที ถึงความไมมีตัวตน หรือกําหนดรูแยกรูปนามทันที แยกกายกับใจออกจาก กัน แยกรูปแยกนามใหเห็นความเปนคนละสวนระหวางจิตของเรากับราง กาย ๑. คือรางกายขณะที่นั่งอยู ๒. รูปอีกอยางหนึ่ง อยางเชนเสียงก็จัด เปนรูป เมื่อไดยินเสียงที่ไมพึงประสงค หรือเปนเสียงฝายอกุศล จงแยก ความรูสึกหรือจิต ใหแยกสวนกันระหวางเสียงกับจิตของเราใหเปนคนละ สวนกัน เมื่อเห็นภาพ มองภาพที่เกิดความรูสึกไมดี มองภาพที่ไมอยากเห็น ก็ใหความรูสึกกวางกวาภาพนั้น เอาความรูสึกวาเปนเราออก เอาความรูสึก วาเปนเขาออก ใชความวางมอง ใชจิตที่วางทําหนาที่เปนผูดู อารมณภาพ นั้นก็จะไมมากระทบที่ใจ ภาพเหลานั้นก็จะตั้งอยูบนความวางเปลา เปนแค ภาพ ๆ หนึ่ง หรือเปนธรรมชาติของรูป ๆ หนึ่งเทานั้นเอง ที่เกิดขึ้นโดย เหตุปจจัยของเขา เขาก็เปลี่ยนแปลงของเขาอยางนั้น เพราะฉะนั้นสิ่ง ตาง ๆ ที่เกิดขึ้น ถาเรากําหนดรูถึงความไมมีตัวตน อารมณเหลานั้นไม สามารถปรุงแตงจิตเราใหเปนอกุศลได
แตถาเมื่อไหรเรามีตัวตนเกิดขึ้นมา อารมณที่เขามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มาปรุงแตงจิตใจของเราใหเปนอกุศลตามไปกับ อารมณเหลานั้น นั่นคือการคลอยตามหรือหมุนตามวัฏจักรของปฏิจจ- สมุปบาท เมื่อมีผัสสะ มีเวทนา ตัณหา อุปาทาน มีภพ มีชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ครบวงจรเลย เห็นปบทุกข มันครบวงจร สัมผัสทางตา ทาง หู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั่นคือผัสสะ พอเกิดเวทนา ความ