Page 260 - มรรควิถี
P. 260

246
ผูกมัด รอยรัดสัตวทั้งหลายใหติดอยูในโลกนี้ก็คือ ตัวโลภะ โทสะ โมหะ นั่นเอง
ที่จริงโลกของแตละคนก็เหมือนกัน วาโดยโลกมนุษยเหมือนกัน แตโลก ๆ หนึ่งของแตละคนที่ไมเหมือนกันคือโลกสวนตัว เฉพาะอารมณ เฉพาะคน แลวแตวาใครจะยึดอะไรมากกวากัน ไมเทากัน เพราะฉะนั้น อารมณไหนที่เราเขาไปยึด แลวทําใหเราทุกข นั่นคือโลกของเรา โลกที่เรา กําลังเปนอยู ไมใชเปนโลกเดียวกับคนอื่น ชั่วขณะหนึ่ง เพราะฉะนั้นนี่ การที่เราจะพาเราไปเกิดจึงไปตามการยึดติด หรือไปตามกรรมของเรา ที่เรา สรางโลกของเราเอาไว
ตรงนี้ก็ยังเขาตรงที่วา สมัยกอนที่เขาปฏิบัติ แลวก็อยากหลุดพน แตหาทางไมเจอ อยากพนจากเวทนา เพราะรูวารางกายนี้เปนทุกข พอแก ขึ้น อายุมากขึ้น ก็เต็มไปดวยเวทนา ก็เลยเพียรปฏิบัติ เพียรเจริญสติ ฝกกรรมฐาน ทํายังไงจะละกายนี้ได ? ปฏิบัติเขาฌาน จนเขาถึงอรูปฌาน หวังวาเกิดชาติหนาจะไดไมตองอาศัยรูปอันนี้ เพื่อไมใหมีรูป จะไดไมตอง ทุกขกับรูป เลยกลายเปนอรูปฌาน ไปเกิดเปนอรูปพรหม ไมทุกขกับรูป ความทุกขทางกายไมเกิด แตก็ยังไมใชที่สิ้นสุด ยังเวียนวายตายเกิดอยู ถึงเวลาก็ตองกลับมาเกิด ตรงนั้นยังไมสิ้นสุด เพราะวารูปดับไป แตจิตไม มีการเปลี่ยนแปลง ไมเห็นการเกิดดับของนาม จิตเปนหน่ึงตลอดเวลา นั่นก็คือ ยึดจิตเอาไว ไมยึดกายแตก็ยึดจิต ก็เลยกลายเปนจิตดวงเดียว รับรูตลอดเวลา อันนั้นก็เปนสมถะ
เพราะฉะนั้นทุก ๆ อยางที่เกิดขึ้น ถาเราเขาไปรูถึงอาการเกิดดับ การ คลายอุปาทานตรงนี้ มันจะไมมีอาการยึด หรือขม ไมใชการขมจิต แตเปน การดับอารมณ รูการเกิดดับของอารมณ ของสภาวะที่เกิดขึ้น ไมใหเกิดเลย ไดไหม ? ยากใชไหม ? เมื่อไหรที่เรายังมีกิเลสอยู เขาก็ตองเกิดใหเรารู แตเมื่อเกิดแลว ตองพรอมที่จะดับ แคนั้นเอง ไมใชวาหามเกิดเลยนะ


































































































   258   259   260   261   262