Page 352 - มรรควิถี
P. 352

338
สังขารนี้ก็จะพาเราใหตกต่ํา ไปสูอบาย สังขารตาง ๆ ที่เกิดขึ้น สังขารก็ ไมเที่ยง เมื่อสังขารไมเที่ยง เราควรจะทําอยางไร ?
วิญญาณ..ทีนี้มาถึงวิญญาณ วิญญาณคือจิตที่ทําหนาที่รู หรือใจรู นั่นเอง จิตที่ทําหนาที่รูก็ไมเที่ยง วิญญาณไมเที่ยง เหมือนกันกับจิตเรา ที่เรากําหนดรู จิตที่ทําหนาที่รูก็ไมเที่ยง รับรูแลวก็ดับไป รูแลวก็หายไป รูแลวก็ดับ รูแลวก็ดับ เพราะมีหนาที่รับรู เพราะฉะน้ันการรับรูตรงนี้เขา ก็รับรูทุก ๆ อารมณ ทุก ๆ เรื่อง ทุก ๆ อยางที่ผานเขามาทางทวารทั้ง ๖ ถาทวารนั้นยังดีนะ ถาทวารทั้ง ๖ ยังดี อายตนะ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถายังดี เขาก็รับรูทุก ๆ อยาง ทุกเรื่องที่เขามา และวิญญาณคือใจรูนี้ไม เที่ยง เกิดขึ้นแลวดับไป มีแลวหายไป พระพุทธองคตรัสอยางนี้เพื่อใหเรา คลายจากอุปาทาน ไมใหยึดมั่นถือมั่นในขันธ ๕ ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ
สรุปแลวคือ ชีวิตนี้เรายึดอะไรไมไดเลย เพราะขันธ ๕ ก็คือชีวิต ของเรา ขันธ ๕ ของเรา ชีวิตของเรา ขันธ ๕ ของคนอื่น ก็ชีวิตของคนอื่น ขันธ ๕ ภายใน ภายนอก เพราะฉะนั้นรูปนามอันนี้ยึดไมได รูปนามนี้ตั้ง อยูบนกฏของไตรลักษณ เกิดขึ้นแลวดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป ตามกาล เวลา ตามเหตุปจจัย อาศัยได แตยึดไมได อาศัยได แตเรายึดไมได เหมือน บานเรา เราอาศัยได ยึดไมไดหรอก แบกไมได มันหนัก รูปนามอันนี้ก็เชน กัน ถาเราพิจารณาตามหลักของสติปฏฐาน ๔ หรือที่เราปฏิบัติกัน พิจารณา ถึงความดับทุกข รูตามความเปนจริง รูปนามที่เกิดขึ้น ตั้งอยูนี้ ไมมีอะไร เลยที่บอกวาเปนของเรา
เมื่อเราพิจารณาดู รูปก็สวนรูป นามก็สวนนาม รูปก็สวนรูปคือ ราง กายสวนรางกาย ใจสวนใจ แยกรูปนามออกมา พอแยกรูปนามออกมา แยก กายกับใจออกมา ทุกอยางวางเปลา แคเราเห็นความเปนคนละสวน ลอง พิจารณาสภาวธรรมดูจริง ๆ โยงสภาวะธรรมที่เปนบัญญัติกับปรมัตถเขา


































































































   350   351   352   353   354