Page 362 - มรรควิถี
P. 362
348
ไมเกิด แลวก็หลุดจากวงจร แตทุกอยางเปนไปตามปกติ แตจิตเราหลุด จากวงจรอันนั้น ตรงนี้พนจากวงจรของปฏิจสมุปบาท หรือการเวียนวาย ตายเกิด นั่นคือเราหลุดพน แมชั่วขณะหนึ่ง พนจากวังวนของปฏิจสมุปบาท หรือที่เรียกวา “วัฏฏสงสาร”
ถาเราคลอยตามเมื่อไหร แปลงาย ๆ ก็คือ เมื่อมีผัสสะ มีเวทนา แลวก็มีตัณหา มีอุปาทาน ก็มีภพ มีชาติ มีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ... กลายเปนคนนาสงสาร โศกเศรา มีความทุกข มีความโศก มีความเศรา มีความร่ําไหพิไรรําพันกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิต กับความไมเที่ยงของ รูปนาม กับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งตาง ๆ ที่อยูรอบตัวเรา เมื่ออะไรเปลี่ยน ไป ไมเปนดั่งใจ ก็เกิดความทุกข ความเศรา ความเสียใจ ความร่ําไหพิไร รําพันเกิดขึ้น ไมใชเฉพาะตัวเรา ญาติพี่นองลูกหลาน เมื่อสิ่งเหลานั้นมี การเปลี่ยนแปลงที่ไมเปนไปตามปรารถนา คนเราเกิดความทุกขความเศรา ความร่ําไห พิไรรําพันเกิดขึ้น น่ันละวงจรของปฏิจจ
เริ่มจาก.. กอนหนานี้เราไปหามไมไดแลว อยางเชน นามรูป สฬายตนะ กอนที่เราไปเกิด เราก็ไปหยุดไมไดแลว เราจะหยุดไดก็ตอเมื่อ ตอนนี้เรามีชีวิตอยู เราผานมาชวงหนึ่ง นามรูป สฬายตนะ สฬายตนะก็ คือ อายตนะ ๑๒ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภายใน ภายนอก แลวก็ผัสสะ ก็เกิดขึ้นแลว เวทนาก็เกิดขึ้นแลว ผัสสะคือการเห็นทางตา การไดยินทาง หู ไดกลิ่นทางจมูก เย็น รอน ออน แข็ง สัมผัสทางกาย การเจ็บปวด อันนี้ ผัสสะเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแลว เราจะหยุดแคตรงนี้ไดไหม ไมใหเกิดตัณหา เพื่อสรางภพชาติตอไป ไมใหเกิดอุปาทาน “ไมใหเกิดตัณหา อุปาทาน เพื่อ สรางภพชาติตอไป” ถามวา “ไดไหม ?“ “ได”
ที่เราปฏิบัติ เราแยกรูปนาม สังเกต..พอเราแยกรูปนาม ทําจิตใหวาง ใหกวางกวาตัว หอหุมตัว อารมณตาง ๆ ที่มากระทบทางทวารทั้ง ๖ จะตั้ง อยูบนความวาง รูวาดีไมดี แลวตั้งอยูบนความวาง ไมปรุงแตงตอ ตรงนั้น