Page 45 - มรรควิถี
P. 45
เพื่อใหสลายไปก็ได นี่คือวิธีการดับความทุกขความเศราหมอง เราจะไปดับอารมณที่มากระทบไมได จริง ๆ แลวธรรมชาติของ อารมณที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เกิดดับโดยสภาวะ โดยอัตโนมัติเปนปกติอยูแลว อยางเชนเสียงที่เราไดยินแตละคํา แตละ ครั้งนั้น วาโดยตัวของเสียงเองแลวมีแลวก็หมดไป แตความรูสึกหรือ เวทนาที่เกิดขึ้นกับใจนั้นยังตั้งอยู ขณะที่เจออารมณไมดี พอเห็นปุบไมชอบ
ภาพที่เห็นนั้นดับไปแลว แตความไมชอบยังอยู
อนัตตา บังคับบัญชาไมได สิ่งนี้ควรพิจารณาใหมาก ถาเราพิจารณา
ดวยใจที่ไมมีตัวตน พิจารณาดวยการแยกรูปนาม ก็จะเขาใจตามสภาพ ความเปนจริง สําหรับนักปฏิบัติหรือผูรูแลว ควรจะรูซอนเขาไปถึงธรรมชาติ ที่แทจริงวา แมคําวาเขาก็ไมมีในรูปอันนั้น รูไปเพื่ออะไร ? เพื่อการละ เพื่อการปลอยวางจากการยึดติด ยึดถือ เพราะการยึดติด ยึดถือเปน เหตุแหงทุกข เพื่อทําลายอัตตา เพื่อการเขาสูความสงบ ความไมมีตัวตน ความไมวุนวาย เพื่อความสันติของจิต ความสงบของจิต เพ่ือกุศลจะได เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทีนี้เมื่อแยกรูปนามไดแลว พิจารณาอยางนั้นแลวเขาใจ แลว ทุกอยางเปนอนัตตา ไมเที่ยง เปนอนิจจัง ตั้งอยูในสภาพเดิมไมได คือทุกข ตองเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีแลวหายไป หมดไป
ถาตองการปฏิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพาน ตองการทําจิตใหบริสุทธิ์ อยางสิ้นเชิง ตองการทําลายอัตตาอยางสิ้นเชิง คืออยูอยางไมมีตัวตน จริง ๆ ก็ตองอาศัยอารมณทั้ง ๖ นั่นแหละมาเปนอารมณกรรมฐาน เปน อารมณของการฝกจิตของเราใหละเอียดขึ้น อารมณทั้ง ๖ ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ แลวก็อิริยาบถทั้ง ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน เมื่อจิตเราวางไมมีตัวตนแลว ขณะที่นั่งก็ตองอาศัยลมหายใจ หรืออาการ เคลื่อนไหวที่ทองนั้นมาเปนอารมณวิปสสนา ดวยการตามกําหนดรูถึง อาการเปลี่ยนแปลง เกิดดับของลมหายใจ ของอาการเคลื่อนไหวอันนั้น
31