Page 49 - มรรควิถี
P. 49

คนอื่นเห็นแลว เกิดกุศลจิตไปดวย แมแตตัวเองเห็นกิริยาอาการที่เกิดขึ้น จากการปรุงแตงดวยกุศลจิต นึกถึงกิริยาอาการของตัวเองแลว ก็จะเกิด ความรูสึกภูมิใจ จิตเปนกุศลเกิดปติ เกิดความสุข นึกถึงตัวเองเมื่อไหร ก็มีความสุขเมื่อนั้น เพราะเห็นแตกุศลจิต เห็นแตกุศลกรรมของตัวเอง
สังขารเหลานี้ ถาเราพิจารณาอยางไมมีตัวตน ก็สักแตวาสังขาร ไม มีใครเปนเจาของ อยางเชนขณะที่เราคิด พิจารณาดูวาความคิดนั้นมีตัวตน มั้ย ? ความเขาใจนั้นมีตัวตนหรือเปลา ? ไมมีตัวตน มีแตปญญา มีแต ธรรมชาติที่เกิดขึ้น ไมมีใครเปนเจาของ แลวทําไมเราจําได ? ทําไมเรารู ? คําวาเราเปนแคสมมติบัญญัติ หรือสมมติสัจจะ ความจริงโดยสมมติ เรียกวาเปนเรา เปนเขา แตไมใชเปนความจริงโดยปรมัตถ
การเห็นถึงความไมมีตัวตน บังคับไมไดนั่นคืออริยสัจจ เปนความ จริงโดยแท แมสังขารก็สักแตวาสังขาร ไมใชเรา ไมใชเขา วิญญาณก็ เหมือนกัน วิญญาณคือใจรู ใจที่ทําหนาที่รู เปนของใครหรือเปลา ? ไมบอกวาเปนของใคร เปนธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากกรรมในอดีต เกิดจาก อวิชชาความไมรู ทําใหความเปนเราเกิดขึ้น เปนมนุษยแลวก็มีรูปนาม มี ขันธ ๕ มีรางกายจิตใจเกิดขึ้นมา เมื่อเกิดขึ้นมาแลว ตองการที่จะละ ไมอยากยึดติดในขันธ ๕ ก็ตองปฏิบัติใหเขาถึงความเปนธรรมชาติ ของอนัตตา
นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจาตรัสรู แลวก็สอนใหกับเหลาสาวกทั้งหลาย หากบุคคลใดไมปฏิบัติตาม ก็ไมสามารถเขาถึงความเปนอนัตตาได ก็ยัง คงยึดขันธ ๕ เหลานี้วาเปนตัวเรา ของเรา บางคนยึดรูป บางคนยึดเวทนา บางคนยึดสัญญา บางคนยึดเอาสังขาร บางคนยึดเอาจิตวาเปนของเรา เปนเหตุใหตองเวียนวายตายเกิด บางคนยึดวารูปนามนี้เปนของเรา ก็ทําให ความทุกข ความเศราหมองเกิดขึ้นได บางคนรูวารูปนี้เปนเหตุแหง ทุกขเวทนา พิจารณาเห็นแลววารางกายนี้มีแตทุกขเวทนา เปนที่อาศัย
35


































































































   47   48   49   50   51