Page 86 - มรรควิถี
P. 86

72
อุปาทานหรือการยึดติด ในรูปในนามก็จะถูกดับไปดวยโดยอัตโนมัติ เมื่อความรูสึกยึดติดในรูป อุปาทานในรูปนามดับไป ก็จะเหลือแตความวาง จิตของเราจะรูสึก เบา โลง โปรง
คําสอนของพระพุทธเจาที่ถามวา รูป-นามอันนี้บอกวา เปนเรา เปน เขา หรือเปลา ถาเราพิจารณาดูจิตที่วางใจที่วางเบานั้น ก็จะไมบอกวา เปนใคร แตรูสึกโลง ๆ เบา ๆ มีแตสติความรูสึกเปนผูรูถึงความโลงเทา นั้น เมื่อพิจารณาถึงความไมมีตัวตนตรงนี้ จิตก็ไมไดบอกวาเปนเรา ทีนี้ ยอนกลับมาดูวาแลวตัวที่นั่งอยูบอกมั้ยวาเปนใคร คําถามตรงนี้ก็คือ เพื่อ ที่เราจะไดพิจารณาตามความเปนจริง เมื่อรูป-นามแยกจากกันแลว มีสิ่ง ไหนบางที่บอกวา เปนเรา เปนเขา จะเห็นวารูปหรือตัวที่นั่งอยูจะนั่งอยูใน ความวาง แตเมื่อสังเกตตอไปอีก ตัวบอกมั้ยวาเปนใคร เราจะรูสึกวาตัว ก็ไมไดบอกวาเปนใคร เปนแครูปเปนแคสิ่ง ๆ หนึ่งที่ตั้งอยูในความวาง เมื่อเปนแคสิ่ง ๆ หนึ่งที่ตั้งอยูในความวาง เมื่อเห็นในลักษณะอยางนี้ จิต เราจะรูสึกโลง วาง เบา โปรง เพราะอะไร เพราะไมยึดติดในรูปวาเปนเรา ถามวาจําไดมั้ยวาตัวที่นั่งอยูเปนเรา จําได(สัญญา) แตโดยสภาวะที่ เปนจริงในขณะปจจุบันก็คือวา รูปนั่งไมไดบอกวาเปนใคร เมื่อไมไดบอก วาเปนใคร รูปก็จะเบาจิตก็จะเบา อุปาทานการยึดมั่นถือมั่นในรูปวา เปนของเราก็จะไมเกิดขึ้น อุปาทานการยึดมั่นถือมั่นในนามวาเปนของเรา ก็ไมเกิดขึ้น เหลือแตธรรมชาติของรูป-นาม ทําหนาที่รับรูอารมณ ทําหนาที่ดู ทําหนาที่เห็น ทําหนาที่ฟง ทําหนาที่ไดยิน เปนธรรมชาติ ที่ทําหนาที่ของเขา ไมมีตัวเราเขาไปเกี่ยวของ เมื่อทําไดอยางนี้จิตเราจะ รูสึกอิสระ จะไมมีอะไรมาบีบคั้น
สิ่งที่ตองพิจารณาตอไปอีกก็คือ พิจารณาขันธ ๕ นั่นเอง พิจารณา วารางกายกับใจแยกเปนคนละสวน รูปกับนามแยกเปนคนละสวนกัน แลว ขันธอื่นอยางเชน สังขารขันธ วิญญาณขันธ หรือสัญญาขันธ สังขารก็คือ


































































































   84   85   86   87   88