Page 53 - สภาพจิต
P. 53
47
ยกตัวอย่างเช่น บัลลังก์ท่ีแล้วขณะที่เจริญกรรมฐาน จนรสู้ กึ วา่ จติ มคี มคี วามสงบมคี วามผอ่ งใส พอหมดเวลากไ็ ปทา ภารกจิ ภารกจิ ตา่ ง ง ง ง ง ง ง ๆ ๆ ตามปกตใินชวีติประจ�าวนัเมอื่ทา�ภารกจิเสรจ็แลว้ผา่นไปๆหลายชวั่โมง พอมาเจริญกรรมฐานใหม่ก็สามารถยกจิตขึ้นสู่บรรยากาศของความรู้สึก ที่สงบที่ผ่องใสนั้นได้เร็วขึ้น พอน่ิงนิดหนึ่ง จิตก็เข้าไปสู่ความสงบความผ่องใสน้ันได้เลย แล้วก็สามารถยกจิต ขึ้นสู่ความสงบความผ่องใสนั้นได้ และเมื่อยกจิตข้ึนสู่ความสงบ เมื่อยกจิตข้ึนสู่ เมื่อยกจิตข้ึนสู่ วปิ สั สนาพจิ ารณาอาการพระไตรลกั ษณข์ องอารมณป์ จั จบุ นั นั นั ทกี่ า า า า า า า า า า า า า า า า า า ลงั ปรากฏ ก็สามารถสานต่อสภาวธรรม/สภาวญาณนั้น ๆ ได้ อีกอย่างหนึ่งของการก�าหนดรู้สภาพจิต การดูจิตในจิตไม่ใช่แค่รู้ว่าจิตก�าลังคิดนู่นคิดนี่คิดปรุงแต่งไป ต่าง ต่าง ๆ ๆ นานา เพราะน่ันเป็น สิ่งที่พึงระวัง เพราะความคิดในลักษณะต่าง ๆ ๆ ที่เกิดขึ้นมานั้นส่ง ผลกระทบทอี่าจจะทา�ใหจ้ติคลอ้ยตามปรงุแตง่ไปแลว้เกดิความทกุขเวทนา ทางจิตเกิดขึ้น หรือเกิดอาการหลงเข้าไปในความคิดนั้น ๆ น่ีคืออย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่รู้ว่าคิด แต่ในการเจริญกรรมฐานเม่ือมีความคิดเกิดขึ้นมาใน ลักษณะอย่างนั้น จัดเป็นอาการที่เกิดกับจิต ตั้งอยู่-ดับไปของความคิดเอง รู้อาการพระไตรลักษณ์ของความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเจริญกรรมฐาน เมื่อมีความคิดเกิดข้ึนมา นั่นเป็น สภาวธรรมทส่ี า า า า า า า า า า า า คญั เลยทผี่ ปู้ ฏบิ ตั พิ งึ งึ สา รวมระวงั และใสใ่ จถงึ กฎไตรลกั ษณ์ ของความคดิ นน้ั เพราะความคดิ ทเี่ กดิ ขนึ้ นนั้ สว่ นใหญโ่ ยคหี รอื บคุ คลทวั่ ไป