Page 346 - Thai Heritage from Space_ebook
P. 346
โบราณวัตถุจ�านวนมากพบที่บริเวณ
อ�าเภอยะรัง ในลุ่มน�้าปัตตานีโดยกรมศิลปากร
เป็นซากเมืองโบราณขนาดใหญ่ซ้อนทับกัน
๓ เมือง มีซากโบราณสถานปรากฏไม่น้อยกว่า
๔๐ แห่ง ซากเนินโบราณสถานบางแห่งได้รับ
การขุดแต่งและอนุรักษ์ไว้เป็นหลักฐานแสดงถึง
ความเป็นเมืองท่า ที่มีความเจริญรุ่งเรืองทาง
พุทธศาสนาในช่วงสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓
ก่อนการเข้ายึดครองของกลุ่มมุสลิม และเป็น
เขตขัณฑสีมาของไทยมาโดยตลอด
เมืองโบราณยะรัง ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่ม
แม่น�้าปัตตานีตรงส่วนที่เป็นเดลต้าเก่าในช่วง
เวลาที่ชายฝั่งทะเลเว้าลึกเป็นอ่าวเข้ามาตามลุ่ม
น�้าใกล้บริเวณที่ตั้งเมือง ซึ่งปรากฏหลักฐานเป็น
เมืองคูคลองและก�าแพงเมือง-คูเมือง เรียงต่อกัน
ในแนวเหนือ-ใต้ ๓ เมือง คือ เมืองโบราณ
บ้านวัด เมืองโบราณบ้านจาเละ และเมืองโบราณ
บ้านประแว การขุดส�ารวจของกรมศิลปากร อ.เมืองปัตตานี
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ พบโบราณวัตถุและซากอาคาร เมืองปัตตานี
ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๓ และเชื่อกันว่าเมือง
ยะรังน่าจะเป็นเมืองที่ภิกษุสงฆ์จีนอี้จิงหยุดพัก
บนเส้นทางไปแสวงธรรมที่ประเทศอินเดีย
อ.หนองจิก แม่นํ้าปัตตานี
เมืองปัตตานี
ในสมัยอยุธยาเมืองปัตตานีมีฐานะ
เป็นเมืองประเทศราชฝ่ายใต้ ตั้งแต่รัชสมัย
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ต่อมาในสมัย
พระรามาธิบดีที่ ๒ โปรตุเกสเข้ายึดครอง อ.ยะรัง
มะละกา และได้แผ่อิทธิพลทางการค้ามาทาง
เหนือของคาบสมุทรมลายูท�าให้เมืองปัตตานี
เป็นเมืองชายฝั่งทะเล สถานีการค้าหลัก
เมืองยะรัง
แห่งหนึ่งในสมัยนั้น และยุยงให้หลายเมือง “โฟชิ” “โพธิ”
รวมทั้งปัตตานีเป็นอิสระจากกรุงศรีอยุธยา
จนต้องใช้ก�าลังเข้าปราบปรามตลอดมาจนสิ้น
สมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี
ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงแผ่พระราช
อ�านาจถึงหัวเมืองทางแหลมมลายูซึ่งยอม
สวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นเช่นเดิม และในรัชกาล
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ปัตตานีมีฐานะเป็นมณฑลทางใต้ในราช
อาณาจักรสยาม และยุบมาเป็นการปกครอง
ในรูปแบบจังหวัดมาตั้งแต่สมัยพระบาท 06 ํ 25’ N
สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงปัจจุบัน 101 ํ 07’ E
332 332 l