Page 4 - เจ็ดคด พรีวังเวียง
P. 4

เราเริ่มออกตัวปั่นรอดใต้สะพานหน้าวัดมูลฯ ลัดเลาะไปตามริมคลอง 5 เพื่อที่จะตัดเข้าถนนเลียบ

               คลอง 6 บนถนนเลียบคลอง 6 มุ่งสู่คลองระพีพัฒน์ มีร้าน 7-11 และร้านอาหารใหญ่ตั้งอยู่เป็นร้านอาหาร

               หลากหลายโดยมีโรงงานกิจการชายสี่หมี่เกี๊ยวตั้งอยู่ข้างๆ ซึ่งสังเกตุแล้วคงเป็นกิจการร่วมของบริษัทชายสี่หมี่

               เกี๊ยวแน่นอนทั้งมีการจัดการที่เป็นระบบและพนักงานขายก็มีชุดเครื่องแบบตราชายสี่ฯอยู่ด้วยคาดว่าน่าจะเป็น

               การทดลองท าธุรกิจแฟนชายแบบใหม่ของกิจการนี้แน่นอน ผมปั่นน าไปยังร้านที่ว่านั้นเพื่อพักทานอาหารเช้า

               กัน ก่อนถึงร้านมีรถตู้เก่าๆ คันหนึ่งแล่นแซงขึ้นไปแล้วก็จอดที่หน้าร้านอาหารนั้นเช่นกัน ซึ่งเราก็ให้สัญญาณทุก

               คนในทีมจอดทานข้าวกันตรงนี้ ทุกคนจอดรถจัดแจงกับข้าวของตัวเองเพื่อสั่งอาหารทานกัน ก่อนเดินเข้าร้าน

               ผมเดินผ่านรถตู้คันนั้น มีลุงอายุประมาณ50กว่าเปิดประตูออกมาผมก็มัวแต่มองกระเป๋าสตางค์และขวดน้ า

               เพราะมันก าลังจะหล่น จัดขวดน้ าได้พอดีเกือบหลุดมือ เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับลุงคนขับรถก าลังมองหน้าเราอยู่

               เราหันไปสบตา ก็ไม่ได้คิดอะไรจะเดินเข้าร้าน แต่....ไม่รู้อะไรสะกิดใจ หันไปหาตาลุงนั่นอีกที ปรากฏว่าลุงแกก็

               ยังมองหน้าเราอยู่เราก็สงสัยว่าแกมีอะไรจะคุยรึป่าวรึว่าเราไปท าอะไรให้ไม่พอใจมั๊ย ด้วยปากไวกว่าความคิด ก็

               หยุดเดินหันไปถามแกว่า “มีอะไรเหรอ” ซึ่งผมตั้งใจถามแค่นั้นจริงเพราะผมระแวงว่ากลุ่มเราจอดรถจักรยาน

               กันใกล้รถตู้แกมากก็กลัวว่าจะไปขวางทางเค้ารึป่าวแค่นั้นจริง ๆ พอถามไปลุงแกก็งง ๆ ตอบกลับมาว่าป่าวไม่มี

               อะไร เราก็หันกลับแล้วเดินเข้าร้านนั่งโต๊ะสั่งอาหารกินกัน เรื่องนี้ผมมาได้รับรู้จากรองนนท์ทีหลังว่า กิริยาของ

               ผมเหมือนก าลังจะมีเรื่องหันไปเหมือนจะเล่นงานลุงคนขับรถตู้ มือซ้ายถือหมวก+กระเป๋าสตางค์ มือขวาถือ

               ขวดน้ าแต่ท่าทางในการถือขวดน้ า คือเอามือก าคอขวดคว่ าลงเหมือนถือขวดจะไปฟาดหัวตาลุงคนนั้น ผมก็ไม่

               รู้ตัวหรอกนะตอนนั้น รองนนท์บอกอีกว่าหน้าตาและค าพูดของผมดูขึงขังน่ามีเรื่องมากถ้าคนขับรถเป็นวัยรุ่น

               คงปิดทริปกันตรงนั้นแน่นอน ผมมาวิเคราะห์ในภายหลังได้ข้อสรุปว่าอารมณ์ขุ่นมัวจากการอุบัติเหตุ Garmin

               หล่นพังท าให้หน้าตาท่าทางผมดูเคร่งเครียดและพูดจาหมาไม่แดกนั่นเอง มานึกย้อนกลับไปตัวผมคงยังมีจิตใจ

               ไม่นิ่งพอเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรแล้วจะแสดงออกมาทั้งหน้าตากิริยาท่าทาง ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสันดานของผม

               มาตั้งแต่วัยรุ่นแล้วซึ่งก็พยายามแก้ไขอยู่แต่มันยากมากเลยขอบอก ในเรื่องนี้มีคนเดียวที่เข้าใจผมที่สุดคือ เมีย

               ผมเอง เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรร้ายแรงเมียผมจะคอยเตือนและคอยสังเกตผมอยู่ตลอด และชอบพูดกับผม

               เสมอว่า พ่อเวลาโมโหโคตรน่ากลัว แต่ตอนนี้แก่แล้วเขี้ยวก็ไม่มีจะกัดใครแล้วลดความร้อนของอารมณ์ลงบ้างก็

               ดี หึหึหึ อยากจะบอกว่าตอนนี้เหงือกจะช่วยเคี้ยวข้าวยังเจ็บอักเสบอยู่ทุกวัน จะเอาเขี้ยวที่ไหนไปกัดใครเค้า

               5555



                       กินข้าวเช้าเรียบร้อยออกเดินทางต่อ ช่วงคลอง 6 เจอลมสวนอย่างแรง เราอาสาเป็นหัวลากให้บังลม

               ให้ด้วยยืนความเร็วที่ 25 กม/ชม. ปั่นไปได้ 4-5 โล ด้านหลังเสียงเงียบกันหมด หันไปดูไม่มีใครตามเลย เราก็

               ชะลอความเร็วให้ทุกคนตามมาทัน และหยุดพักที่ประตูน้ าก่อนเข้าเส้นทางคลองระพีพัฒน์ ทุกคนบ่นเป็นเสียง
   1   2   3   4   5   6   7   8   9