Page 41 - ED 211
P. 41

ความพยายามจัดการศึกษาให้เป็นระบบ  มีแบบแผนและแพร่หลายสู่คนทั่วไปปรากฏเป็น
                   รูปธรรมในปีพ.ศ.2441  จากการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดท า

                   โครงการศึกษา  โครงการศึกษาพ.ศ.2441 ที่จัดท าขึ้นเป็นโครงการแรกแบ่งเป็นสองภาค  คือ ภาคหนึ่งว่า

                   ด้วยการศึกษาในกรุงเทพฯ  และภาคสองว่าด้วยการศึกษาในหัวเมือง   โดยใช้แผนการศึกษาของ
                   ประเทศสหราชอาณาจักร  แผนการศึกษาครอบคลุมการจัดการศึกษาทั้งหมดตั้งแต่การศึกษาชั้นมูลศึกษา

                   จนถึงมหาวิทยาลัย  การศึกษาส าหรับผู้หญิง  การฝึกหัดครู  การสร้างโครงการศึกษา  การตรวจโรงเรียน

                   หลักสูตร  แบบเรียนและงบประมาณในการจัดการศึกษา  ต่อมาในปีพ.ศ.2445 ได้มีการเปลี่ยนแปลง
                   แผนการศึกษา โดยน าแผนการศึกษาของประเทศญี่ปุ่นมาใช้เป็นแนวทางด้วย ดังบันทึกของเจ้าพระยา

                   ธรรมศักดิ์มนตรี ข้าหลวงตรวจการศึกษาผู้หนึ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระ

                   กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปดูการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น  ความตอนหนึ่งว่า  “เวลานั้นประเทศญี่ปุ่นได้
                   วางแผนศึกษาชาติลงแล้ว  ด้วยวิธีที่ตั้งข้าหลวงตรวจแผนการศึกษาของชาติต่าง ๆ ในยุโรปและอเมริกา

                   แล้วก าหนดวางลงเป็นแผนการศึกษาของญี่ปุ่น  คณะข้าหลวงของเราได้ประสบโอกาสดี  ได้ชุบมือเปิบจาก

                   แผนการศึกษาชาติของญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นแผนรวมที่ใหม่ที่สุดในเวลานั้น”  (เพิ่งอ้าง.  157-158)
                               การเน้นการจัดการศึกษาเพื่อผลิตคนเข้ารับราชการได้ขยายไปยังการศึกษาเพื่อการประกอบ

                   อาชีพในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ดังปรากฏในแผนการศึกษา พ.ศ.2456-2458

                   ความตอนหนึ่งว่า  “รัฐบาลได้มองเห็นภัยของคตินิยมในการรับราชการ  เห็นว่าถึงเวลาอันควรที่จะต้องจัด
                   การศึกษาให้กว้างขวางออกไป  จนได้ชื่อว่าเป็นการศึกษาแห่งชาติ” (เพิ่งอ้าง.  225)  แต่การจัดการศึกษา

                   ก็ยังถูกมองว่าล้าหลังทั้งคุณภาพและปริมาณเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ   ดังจะเห็นได้จากจ านวน

                   นักเรียนที่ก าลังศึกษาในโรงเรียนมีเพียงร้อยละ 10 จากจ านวนเด็กทั้งหมดที่มีอายุระหว่างเรียนเท่านั้น
                   ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นกลับมีจ านวนเด็กนักเรียนร้อยละ 89.5  และประเทศอังกฤษมีนักเรียนถึงร้อยละ 98

                   (เพิ่งอ้าง.  275)  การประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พระพุทธศักราช 2464  ท าให้คนทั่วไปซึ่ง

                   รวมถึงคนชนบทเข้าถึงการศึกษาในระบบโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น  เนื่องจากบังคับให้เด็กทุกคนที่มีอายุ 7 ปี
                   ต้องเรียนอยู่ในโรงเรียนจนมีอายุ 14 ปี  ดังบทบัญญัติในมาตรา 5 ความว่า  “เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปี

                   บริบูรณ์ต้องเรียนอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษาจนอายุได้ 14 ปีบริบูรณ์  แต่ส าหรับบางอ าเภอและต าบล

                   ด้วยเหตุฉะเพาะท้องที่  เขตร์อายุ 7 ปีที่ว่านี้  อาจเขยิบขึ้นเปน 8 ปี  9 ปี หรือ 10 ปี ก็ได้ตามที่
                   กระทรวงศึกษาธิการจะได้ชี้แจง  เวลาเรียนในปีหนึ่งต้องไม่น้อยกว่า 320 เวลา (หรือ 800 ชั่วโมง)” แม้

                   การประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาจะเป็นการบังคับให้คนทั่วไปต้องส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนก็

                   ตาม  แต่กลับพบว่ามีคนจ านวนมากที่ยังไม่ส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียน  เพราะในปีพ.ศ.2470  ซึ่งมีเด็กที่อยู่
                   ในเกณฑ์บังคับทั่วประเทศหนึ่งล้านคนเศษ  มีเด็กเข้าเรียนประมาณร้อยละ 52 เท่านั้น (วิทย์ วิศทเวทย์.

                   2555: 51)  ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความรู้ที่เรียนในระบบโรงเรียนไม่เป็นประโยชน์ส าหรับการผลิตเพื่อการยัง






                                                       เอกสารประกอบการสอนรายวิชากระบวนทัศน์ทางการศึกษา พรใจ ลี่ทองอิน | 35
   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45   46