Page 29 - รายงานโครงการน้ำอุปโภค-บริโภค ปี61
P. 29

โครงการพัฒนาแหล่งน ้าบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน ้าอุปโภค - บริโภค
                      ประจ้าปีงบประมาณ 2561


                                                              บทที่ 2


                                                          วิธีด ำเนินกำร



                      2.1 กำรส ำรวจทำงธรณีฟิสิกส์
                             การส้ารวจในครั งนี ท้าการส้ารวจแบบหาข้อมูลในแนวดิ่งได้วางรูปแบบขั วไฟฟ้าแบบชลัมเบอร์เจ
                      โดยวางจุด Soundings จ้านวน 20 จุด โดยแต่ละจุดส้ารวจถึงระยะ AB/2 เท่ากับ 200 เมตร เพื่อให้ได้

                      ข้อมูลความลึกของชั นหินแข็ง การส้ารวจเริ่มจากการวางขั วปล่อยกระแสไฟฟ้า A, B และขั ววัดศักย์ไฟฟ้า
                      M, N ที่ระยะ AB/2 และ MN/2 เท่ากับ 1 และ 0.25 เมตรตามล้าดับ เพื่อวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าจุด
                      แรก จากนั นจึงขยายระยะระหว่างขั วไฟฟ้าทั งสองด้านจากจุดศูนย์กลางของจุด sounding ซึ่งเป็น
                      จุดอ้างอิง (reference หรือ sampling point) เพื่อวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าในจุดต่อ ๆ ไป โดยเป็นไป

                      ตามระยะทางของขั วปล่อยกระแสไฟฟ้า (AB/2) และขั ววัดศักย์ไฟฟ้า (MN/2)

                             หลักกำรส ำรวจวัดค่ำควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ

                             การส้ารวจวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าอาศัยการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติด้านความต้านทานไฟฟ้า
                      จ้าเพาะที่เกิดขึ นในชั นดินชั นหิน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวท้าให้เกิดค่าผิดปกติที่สามารถตรวจสอบได้ เมื่อมี
                      ค่าผิดปกติทางด้านความต้านทานไฟฟ้าจ้าเพาะเกิดขึ นจากการส้ารวจย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการ
                      เปลี่ยนแปลงทางด้านธรณีวิทยาใต้พื นที่ส้ารวจที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงชนิดหินหรือธรณีโครงสร้าง

                             การส้ารวจวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าต้องมีขั วไฟฟ้า (electrodes) 2 ประเภทคือ (1) ขั วปล่อย
                      กระแสไฟฟ้า (current electrodes) ได้แก่ A และ B และ (2) ขั ววัดศักย์ไฟฟ้า (potential electrodes)
                      ได้แก่ M และ N เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าลงสู่พื นดินผ่าน A และ B ก็จะสามารถวัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า
                      ระหว่างขั ว M และ N ซึ่งค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าดังกล่าวสามารถน้ามาค้านวณค่าความต้านทานไฟฟ้า

                      (resistance, R) และค่าความต้านทานไฟฟ้าจ้าเพาะ (resistivity, ) ได้ (รูปที่ 2.1) ปัจจุบันเครื่องมือส่วน
                      ใหญ่สามารถวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าได้โดยตรง ส้าหรับการค้านวณ  ค่าความต้านทานไฟฟ้าจ้าเพาะนั น

                      สามารถท้าได้ไม่ว่าจะวางขั วไฟฟ้าในลักษณะใด รูปแบบการจัดวางขั วไฟฟ้าที่ใช้แพร่หลายในปัจจุบัน ได้แก่
                      การจัดวางรูปแบบเวนเนอร์ (wenner configuration) รูปแบบชลัมเบอร์เจอร์ (schlumberger
                      configuration) และรูปแบบไดโพล-ไดโพล (dipole-dipole configuration)


                             เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในกำรส ำรวจ
                             เครื่องมือที่ใช้ในการส้ารวจวัดค่าความต้านทานไฟฟ้า มีดังนี  (รูปที่ 2.2) ประกอบด้วยเครื่องมือวัด
                      ค่าความต้านทานไฟฟ้า (resistivity meter) ม้วนสายไฟความยาว ม้วนละ 300 เมตร จ้านวน 2 ม้วน ฆ้อน

                      ตอกหลัก 4 อัน หลักเหล็ก (electrode) 4 หลัก เครื่องหาพิกัดต้าแหน่งบนพื นโลก (GPS) และวิทยุรับ-ส่ง
                      สนาม จ้านวน 3 เครื่อง




                      ส้านักทรัพยากรน ้าบาดาล เขต 10 อุดรธานี     2.1
                      กรมทรัพยากรน ้าบาดาล
   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34