Page 2 - 2world
P. 2

๒

                     สําคัญเกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (achievement  motivation) เป็นหนึ่งในนักวิจัยที่เชื่อมโยงการอ้าง
                     เหตุผล (attribution)  กับรูปแบบของแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และเป็นผู้บุกเบิกงานเกี่ยวกับทฤษฎีตัวตนด้าน
                     แรงจูงใจ (self-theories of motivation) งานวิจัยของดเว็คได้ให้ความสําคัญกับเหตุผลที่คนประสบ
                     ความสําเร็จและวิธีการปลูกฝังให้คนมีแนวโน้มพฤติกรรมแห่งความสําเร็จตามจุดมุ่งหมาย หนังสือวิชาการ
                     "ทฤษฎีตัวตน : กับบทบาทในการพัฒนาแรงจูงใจ บุคลิกภาพ และพัฒนาการ (self-theories: their role in
                     motivation, personality and development)" ของดเว็คได้รับคัดเลือกเป็นหนังสือยอดเยี่ยมแห่งปีโดย

                     สมาพันธ์การศึกษาโลก อีกทั้งยังได้รับรางวัลเกียรติยศอื่นๆ  อีกมากมาย เช่น รางวัลหนังสือทฤษฎีตัวตน
                     (book award for self-therories) ในปีคริสต์ศักราช ๒๐๐๔ นอกจากนั้นดเว็ค ยังมีผลงานด้านหนังสือที่
                     สร้างชื่อเสียงอีกหลายเล่ม โดยเฉพาะหนังสือ "ชุดความคิด:  จิตวิทยาใหม่แห่งความสําเร็จ (mindset: the
                                                                            ๔
                     new psychology of success)" ได้มีการแปลแล้วมากกว่า ๒๐ ภาษา
                              ดเว็คและคณะ ได้กําหนดความเชื่อที่ต่างกันไว้สองแบบ ซึ่งเป็นความเชื่อที่คนเชื่อเกี่ยวกับ
                     คุณลักษณะของตน เช่น สติปัญญา ความสามารถ บุคลิกภาพ ผู้ที่มีทฤษฎีแนวตัวตน (Entity theorists) เชื่อ
                     ว่าคุณลักษณะของตนเป็นสิ่งที่ตายตัวและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Fixed Mindset) แต่ในทางตรงกันข้าม
                     ผู้ที่มีทฤษฎีแนวเพิ่มพูน (Incremental  theorists) เชื่อว่าคุณลักษณะของตนนั้นเปลี่ยนแปลงได้ (Growth
                                                                                         ๖
                             ๕
                     Mindset)  ความเชื่อทั้งสองแบบนี้แสดงถึงรูปแบบความคิดที่เกิดขึ้นในขอบข่ายต่างๆ  อีกทั้งส่งผลต่อวิธี
                     จัดการกับปัญหาในลักษณะที่แตกต่างกันเมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือความลําบาก ที่มีอิทธิพลต่อความ
                                                                                         ๗
                     ต้องการฝึกฝนและพัฒนาความสามารถ โดยไม่สําคัญว่าจะมีความสามารถอยู่ในระดับใด  หากมีความเชื่อว่า
                     คุณลักษณะเป็นสิ่งตายตัวแล้ว ความล้มเหลวก็คือเครื่องแสดงการด้อยความสามารถของตน นั่นเป็นสิ่งที่
                     สะท้อนถึงจุดบอดของคนที่ต้องได้รับการเยียวยารักษา แต่หากมีความเชื่อว่าคุณลักษณะเป็นสิ่งที่
                     เปลี่ยนแปลงได้ ความล้มเหลวก็หมายความว่ายังใช้ความพยายามไม่พอหรือยังใช้วิธีที่ไม่เหมาะสม อีกนัยหนึ่ง
                     ก็คือความต้องการพัฒนาทักษะให้มีมากขึ้น ส่งผลให้มุ่งไปที่การเยียวยาและการหาข้อมูลที่จะช่วยปรับปรุง
                     ผลงานให้ดีขึ้นในอนาคต

                              ความเชื่อที่ต่างกันนี้ ส่งผลให้นักทฤษฎีแนวตัวตนและแนวเพิ่มพูนให้คุณค่าและยึดเป้าหมายที่
                           ๘
                     ต่างกัน  ยกตัวอย่างเช่น นักกีฬาคนหนึ่งอาจเชื่อว่าความสามารถด้านวิชาการของตนเองนั้นเป็นสิ่งตายตัวแต่
                     อาจจะเชื่อว่าความสามารถด้านกีฬาของตนนั้นพัฒนาได้ ดังนั้น ความเชื่อแต่ละความเชื่อจะก่อให้เกิดผลที่
                     ตามมาที่ต่างกันไป การเชื่อว่าศักยภาพของตนในการพัฒนาความสามารถนั้นมีอยู่จํากัดทําให้นักทฤษฎีแนว

                     ตัวตนมีแรงจูงใจกับเป้าหมายเพื่อการแสดงความสามารถหรือเพื่อการตรวจสอบความสามารถของตน หรือ
                     อีกนัยหนึ่ง เป้าหมายของนักทฤษฎีแนวตัวตนก็คือการพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นหรือตนเองเห็นว่าตนเองมี

                              ๔
                               Jo Boaler, “Ability and mathematics: the mindset revolution that is reshaping education”,
                     FORUM, 2013, 55(1) : 143-152, Jessica Zack, Special to The Chronicle, “Carol Dweck: Brain exercise
                     boosts motivation”, (2011, October 18), <http://www.sfgate.com/entertainment/ article/Carol-Dweck-
                     Brain-exercise-boosts-motivation-2326481.php>.
                              ๕
                               Dweck, 1986, 1999; Dweck & Leggett, 1988.
                              ๖
                               Dweck, Chiu, & Hong, 1995.
                              ๗
                               Dweck, 1999.
                              ๘
                               Dweck, 1986, 1999; Dweck & Leggett, 1988.
   1   2   3   4   5   6   7