Page 35 - หนังสือ เรื่อง ภาษากับวัฒนธรรมไทยในท้องถิ่น
P. 35
งานขนทรายเข้าวัดและก่อเจดีย์ทรายเริ่มตั้งแต่เช้า ครั้นพอตกบ่ายก็มีการฉลองพระทราย โดย
นิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีสวดมนต์ ในเวลาเดียวกันนั้นก็จะมีการเตรียมอาหารเพื่อไปตักบาตร เรียกว่าการตักบาตร
เลี้ยงพระ ดังบทประพันธ์ที่ว่า
“ก่อพระเจดีย์ทรายเรี่ยรายไป จะเลี้ยงพระกะไว้ในพรุ่งนี้
นิมนต์สงฆ์สวดมนตร์เวลาบ่าย ต่างฉลองพระทรายอยู่อึ่งมี่
แล้วกลับบ้านเตรียมการเลี้ยงเจ้าชี ปิ้งจี่สารพัดจัดแจงไว้”
(ขุนช้างขุนแผน)
การตักบาตรในสมัยต้นรัตนโกสินทร์เรียกว่าเป็นการตักบาตรเลี้ยงพระคือพระฉันไปพร้อมกัน
ทันทีไม่จำเป็นต้องอุ้มบาตรกลับไปฉันที่กุฏิ ชาวบ้านที่ไปทำบุญจะคอยเพิ่มเติมอาหารใส่บาตรพระ ลักษณะการ
เลี้ยงพระแบบนี้ยังปรากฏอยู่ในสังคมชนบทสมัยปัจจุบัน ส่วนบาตรพระพุทธ ซึ่งใหญ่กว่าเพื่อนนั้นในวรรณคดีเรื่อง
นี้เรียกว่า “หัวโต่ง”
ในเรื่องขุนช้างขุนแผนมีตอนตักบาตรเลี้ยงพระดังคำประพันธ์ที่ว่า
“ฝ่ายว่านางพิมมีศรัทธา กล้วยขนมส้มซ่าใส่ถาดใหญ่
หยิบขันข้าวบาตรเดินนาดไป ใส่แต่หัวโต่งลงมาพลัน”
(ขุนช้างขุนแผน)
“ทำน้ำยาแกงขมต้มแกง ผ่าฟักจักแฟงพะแนงไก่
บ้างทำห่อหมกปกปิดไว้ ตัดไข่ผัดปลาแห้งทั้งแกงบวน
บ้างก็ทำวุ้นชาสาคู ข้าวเหนียวหน้าหมูไว้ถี่ถ้วน
หน้าเตียงเรียงเล็ดข้าวเม่ากวน ของสวนส้มสุกทั้งลูกไม้
มะปรางลางสาดลูกหวายหว้า ส้มโอส้มซ่าทั้งกล้วยไข่”
(ขุนช้างขุนแผน)
หลังจากพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วก็อนุโมทนา อุบาสกและอุบาสิกากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้บรรพ
บุรุษแล้วต่างก็แยกย้ายกลับบ้าน บางกลุ่มก็จัดการละเล่นขึ้นที่บริเวณลานวัดด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจและยินดี
ในกุศลผลบุญที่กระทำไป ดังบทประพันธ์ที่ว่า
หน้า | ๓๐