Page 14 - pdffile_Classical
P. 14
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าสัดส่วนของประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนจะลดลงมาก
แต่จำนวนตัวเลข 5 ล้านคนก็ยังเป็นตัวเลขที่สูงและผู้ที่อยู่เหนือเส้นระดับ
ความยากจนแบบคาบเส้นก็มีความเสี่ยงที่จะตกไปอยู่ใต้เส้นความยากจนอีก
ดังนั้น ปัญหาความยากจนจึงมิอาจกล่าวได้ว่าหมดไปจากประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นส่งผลกระทบในหลายด้าน เช่น
โครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการของรัฐที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มากขึ้น
โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร การศึกษา และความมั่นคงทางอาชีพที่ไม่ทั่วถึง
จนก่อให้เกิดช่องว่างทางสังคมและปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ดังที่นักวิชาการ
หลายท่านได้วิเคราะห์และจากรายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
พ.ศ. 2550 ที่กล่าวว่ามีความไม่สมดุลเกิดขึ้นในหลายมิติ ซึ่งอาจสรุปในเรื่อง
ที่สำคัญๆ ได้ ดังนี้
1
ความไม่สมดุลด้านการกระจายรายได้
โดยปกติแล้วในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา รายได้ของประชาชนในประเทศ
ที่กำลังพัฒนามักจะมีความแตกต่างกันสูงมาก แต่ในระยะต่อมาแนวโน้มดังกล่าว
จะเปลี่ยนไป แต่สำหรับกรณีของประเทศไทยนั้น เป็นเวลาถึง 40 กว่าปีแล้ว
ที่ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้มีแนวโน้มที่กลับจะเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากข้อมูล
การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ
พบว่า กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงหรือกลุ่มคนรวยที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์แรก
มีสัดส่วนของรายได้ต่อรายได้ของคนทั้งประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 49.3
เมื่อ พ.ศ. 2519 เป็นร้อยละ 54.9 ใน พ.ศ. 2551 ในขณะที่กลุ่มคนยากจนที่สุด
ของประเทศ 20 เปอร์เซ็นต์หลัง มีสัดส่วนของรายได้ลดลงจากร้อยละ 6.1
เหลือเพียงร้อยละ 4.4 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยกลุ่มอาชีพที่ยากจนที่สุดเป็นกลุ่ม
เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
12