Page 105 - Bang rak111
P. 105

98




                       อธิบายเหตุการณอยางมีระบบและมีความสอดคลองตอเนื่อง เปนเหตุเปนผล มีการโตแยงหรือ
                       สนับสนุนผลการศึกษาวิเคราะหแตเดิม โดยมีขอมูลสนับสนุนอยางมีน้ําหนัก เปนกลาง และสรุป
                       การศึกษาวาสามารถใหคําตอบที่ผูศึกษามีความสงสัย อยากรูไดเพียงใด หรือมีขอเสนอแนะใหสําหรับ
                       ผูที่ตองการศึกษาตอไปอยางไรบาง

                                 กลาวโดยสรุปวิธีการทางประวัติศาสตรมี 5 ขั้นตอน คือ (1) กําหนดประเด็นใน
                       การศึกษา(2)สืบคนและรวบรวมขอมูล(3) การวิเคราะหและตีความขอมูลทางประวัติศาสตร(4)การ
                       คัดเลือกและประเมินขอมูล และ (5) การเรียบเรียงรายงานขอเท็จจริงทางประวัติศาสตร
                                 สําหรับการประยุกตใชขั้นตอนวิธีการศึกษาทางประวัติศาสตรในการศึกษาบางรักศึกษา

                       นาเรียนรู ใหครูผูสอนแนะนําผูเรียนในขั้นตอนการกําหนดประเด็นศึกษา แลวใหไปศึกษาคนควาหา
                       ขอมูล โดยผูเรียนตองประยุกตใชการวิเคราะห และตีความขอมูลทางประวัติศาสตรกับขอมูลที่คนควา
                       ได ตอจากนั้นผูเรียนคัดเลือกและประเมินขอมูลนํามาเปรียบเทียบสรุปการศึกษาคนควาและบันทึกลง
                       ในเอกสารการเรียนรูดวยตนเอง(กรต.) เพื่อนําไปพบกลุมตามที่นัดหมายไวกับครูผูสอน



                       เรื่องที่2  วิธีการทางภูมิศาสตร

                                 2.1  กําหนดวัตถุประสงคในการศึกษาวิธีการศึกษาทางภูมิศาสตรจะมุงเนนความ
                       เขาใจเกี่ยวกับรายละเอียดเบื้องตน เปนการศึกษารายละเอียดของเหตุการณที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ
                       โดยเฉพาะ ซึ่งจะใชในการศึกษานี้พิจารณาวา “มีสิ่งใดบางที่เปนสาเหตุทําใหเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้น และ
                       แตละสิ่งมีคามเกี่ยวของสัมพันธกันอยางไร” โดยถือรูปแบบและวิธีการดังกลาววาเปนการสรางความ

                       เขาใจเกี่ยวกับปฏิสัมพันธเชิงภูมิศาสตร ภายใตสภาวะตางๆ ที่ทําใหเกิดลักษณะเฉพาะหรือเกิด
                       ปรากฏการณพิเศษในพื้นที่นั้นๆ ขึ้น และถือวาเปนปรากฏการณทางภูมิศาสตรที่เกิดขึ้น ซึ่งมีหลาย
                       ลักษณะ
                                 2.2  การเก็บรวบรวมขอมูลดวยการออกปฏิบัติภาคสนามและสัมภาษณ

                                      การออกภาคสนาม คือ การสํารวจพื้นที่จริง เพื่อศึกษาหรือเก็บขอมูลตางๆ ตาม
                       วัตถุประสงคประโยชนของการออกภาคสนาม มีดังนี้
                                      ขอ 1  ผูศึกษาไดเห็นสภาพจริงของพื้นที่และไดศึกษาสภาพปรากฏการณตางๆ ที่

                       เกิดขึ้นจริง
                                      ขอ 2  ผูศึกษาไดศึกษา “เชิงเปรียบเทียบ” เพื่อผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู เชน
                       ศึกษาในปรากฏการณทางภูมิศาสตรเรื่องเดียวกัน แตในพื้นที่และเวลาตางกัน หรือในพื้นที่เดียวกันแต
                       ตางเวลากัน เปนตน เพื่อนํามาวิเคราะหเปรียบเทียบใหเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยางชัดเจน
                                      การสัมภาษณ  เปนการเก็บขอมูลภาคสนามอีกวิธีหนึ่ง ที่เรียกวา “งานสนาม”

                       ชวยใหการศึกษาทางภูมิศาสตรครบสมบูรณยิ่งขึ้นมีหลักเกณฑ ดังนี้
                                      ขอ 1ผูสัมภาษณ ตองมีความรับผิดชอบตอหนาที่ เชน บันทึกขอมูลตามความเปน
                       จริง ไมตอเติมหรือบิดเบือน ตองใหเกียรติแกผูใหสัมภาษณ เพื่อใหไดรับความรวมมืออยางมากที่สุด
   100   101   102   103   104   105   106   107   108   109   110