Page 152 - หนังสือคู่มือดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
P. 152
144
ั
มำตรำ ๒0 ในกรณีเช่นน้นให้ผู้บังคับบัญชำดังกล่ำวด�ำเนินกำรตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยพลัน หำกเห็นว่ำ
เป็นควำมบกพร่องของเจ้ำหน้ำที่ให้ด�ำเนินกำรทำงวินัยต่อไป
ิ
ผู้ย่นค�ำขอต้องด�ำเนินกำรแก้ไขหรือส่งเอกสำรเพ่มเติมต่อเจ้ำหน้ำท่ภำยในเวลำท่เจ้ำหน้ำท่ก�ำหนด
ื
ี
ี
ี
ื
ี
ี
ื
หรือภำยในเวลำท่เจ้ำหน้ำท่อนุญำตให้ขยำยออกไป เม่อพ้นก�ำหนดเวลำดังกล่ำวแล้ว หำกผู้ย่นค�ำขอไม่
ี
ื
ิ
ี
แก้ไขหรือส่งเอกสำรเพ่มเติมให้ครบถ้วน ให้ถือว่ำผู้ย่นค�ำขอไม่ประสงค์ท่จะให้เจ้ำหน้ำท่ด�ำเนินกำร
ื
ี
ั
ตำมค�ำขอต่อไป ในกรณีเช่นนั้นให้เจ้ำหน้ำท่ส่งเอกสำรคืนให้ผู้ย่นค�ำขอพร้อมท้งแจ้งสิทธิในกำรอุทธรณ์
ื
ให้ผู้ย่นค�ำขอทรำบ และบันทึกกำรด�ำเนินกำรดังกล่ำวไว้
ิ
็
ิ
่
ี
มำตรำ ๒๘ ในกำรพจำรณำทำงปกครอง เจ้ำหน้ำทอำจตรวจสอบข้อเทจจรงได้ตำมควำม
เหมำะสมในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องผูกพันอยู่กับค�ำขอหรือพยำนหลักฐำนของคู่กรณี
มำตรำ ๒๙ เจ้ำหน้ำท่ต้องพิจำรณำพยำนหลักฐำนท่ตนเห็นว่ำจ�ำเป็นแก่กำรพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ี
ี
ในกำรนี้ ให้รวมถึงกำรด�ำเนินกำรดังต่อไปนี้
(๑) แสวงหำพยำนหลักฐำนทุกอย่ำงที่เกี่ยวข้อง
ี
(๒) รับฟังพยำนหลักฐำน ค�ำช้แจง หรือควำมเห็นของคู่กรณีหรือของพยำนบุคคล หรือพยำน
ผู้เช่ยวชำญท่คู่กรณีกล่ำวอ้ำง เว้นแต่เจ้ำหน้ำท่เห็นว่ำเป็นกำรกล่ำวอ้ำงท่ไม่จ�ำเป็น ฟุ่มเฟือยหรือเพ่อ
ี
ี
ี
ื
ี
ประวิงเวลำ
(๓) ขอข้อเท็จจริงหรือควำมเห็นจำกคู่กรณี พยำนบุคคล หรือพยำนผู้เชี่ยวชำญ
(๔) ขอให้ผู้ครอบครองเอกสำรส่งเอกสำรที่เกี่ยวข้อง
(๕) ออกไปตรวจสถำนที่
ี
ี
คู่กรณีต้องให้ควำมร่วมมือกับเจ้ำหน้ำท่ในกำรพิสูจน์ข้อเท็จจริง และมีหน้ำท่แจ้งพยำนหลักฐำนท ่ ี
ตนทรำบแก่เจ้ำหน้ำที่
ี
ี
ี
พยำนหรือพยำนผู้เช่ยวชำญท่เจ้ำหน้ำท่เรียกมำให้ถ้อยค�ำหรือท�ำควำมเห็นมีสิทธิได้รับค่ำป่วยกำร
ตำมหลักเกณฑ์และวิธีกำรที่ก�ำหนดในกฎกระทรวง
ี
มำตรำ ๓๐ ในกรณีท่ค�ำส่งทำงปกครองอำจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้ำหน้ำท่ต้องให้คู่กรณีมีโอกำส
ี
ั
ที่จะได้ทรำบข้อเท็จจริงอย่ำงเพียงพอและมีโอกำสได้โต้แย้งและแสดงพยำนหลักฐำนของตน
ี
ควำมในวรรคหน่งมิให้น�ำมำใช้บังคับในกรณีดังต่อไปน้ เว้นแต่เจ้ำหน้ำท่จะเห็นสมควรปฏิบัติเป็น
ึ
ี
อย่ำงอื่น
ิ
(๑) เม่อมีควำมจ�ำเป็นรีบด่วนหำกปล่อยให้เน่นช้ำไปจะก่อให้เกิดควำมเสียหำยอย่ำงร้ำยแรงแก่
ื
ผู้หนึ่งผู้ใดหรือจะกระทบต่อประโยชน์สำธำรณะ
(๒) เม่อจะมีผลท�ำให้ระยะเวลำท่กฎหมำยหรือกฎก�ำหนดไว้ในกำรท�ำค�ำส่งทำงปกครองต้องล่ำช้ำ
ั
ื
ี
ออกไป
(๓) เมื่อเป็นข้อเท็จจริงที่คู่กรณีนั้นเองได้ให้ไว้ในค�ำขอค�ำให้กำรหรือค�ำแถลง
(๔) เมื่อโดยสภำพเห็นได้ชัดในตัวว่ำกำรให้โอกำสดังกล่ำวไม่อำจกระท�ำได้
(๕) เมื่อเป็นมำตรกำรบังคับทำงปกครอง