Page 8 - ต้นหอม บาส
P. 8

ยุคโรแมนติก






               ■ ยุคโรแมนติก ได้เริ่มขึ้นเมื่อแนวทางดนตรีเริ่มละทิ้งแบบแผนของคลาสสิก นับจากบทประพันธ์
                   อันยิ่งใหญ่ เช่น “Spring Sonata “ ของโมสาร์ท ดนตรีแห่งยุคโรแมนติกได้หันเหแนวของดนตรี
                   มาสู่แนวทางแห่ง ดนตรีชาตินิยม (Nationalism) โดยใช้เสียงดนตรีแบบพื้นเมือง นอกจากนี้แล้ว
                   อิทธิพลทางการเมืองมีส่วนท าให้การดนตรีหันเหไป นับแต่การปฏิวัติในฝรั่งเศส การปฏิวัติใน

                   อเมริกา สงครามนโปเลียน เป็นต้น บทเพลง “ The Polonaise “ ของโชแปงก็เป็นตัวอย่าง
                   อันหนึ่งในแบบอย่างของดนตรีแนว Nationalism นอกจากนี้แล้วในยุคโรแมนติกก็ยังเป็น
                   ช่วงเวลาก่อก าเนิดคีตกวีและนักดนตรีอีกหลายท่าน อาทิ เช่น ปากานินี่ (Nicolo Paganini) ว้าก
                   เนอร์ (Richard Wagner) แวร์ดี้ (Giusseppe Verdi) นอกจากนี้ประเทศรัสเซียก็ยังมีคีตกวีเอกอีก
                   หลายท่านเช่น ไชคอฟสกี้ (Tchaikovsky) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นราชาแห่งบัลเลต์ รวมถึง
                   ผลงานอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ อุปรากร 10 เรื่อง ซิมโฟนี่ 6 บท บัลเลต์ 3 เรื่อง ที่รู้จักกันดี
                   ได้แก่ Nutcracker, Swan Lake, Sleeping Beauty และบทเพลงที่มีชื่อเสียงมากอีกบทคือ 1812
                   Overture ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ก็มีอัจฉริยะทางดนตรีอีก 3 ท่านคือ บราหมส์ มาห์เลอร์
                   และบรู๊คเนอร์ ซึ่งล้วนอยู่ในแนวทางแห่ง Nationalism ทั้งสิ้น


                                                    เทคโนโลยีในศตวรรษที่ 19 ยังเป็นสิ่งที่ไม่ก้าวหน้าไปจากเดิม
                                                    เท่าใดนัก เรามีนาฬิกาที่ท าเพลงได้และกล่องดนตรี (Musical
                                                    Box) แต่นักฟังทั้งหลายก็ยังต้องออกจากบ้านไปฟังตาม
                                                    สถานที่ต่าง ๆ เช่นห้องบอลรูมในราชส านัก เป็นต้น

                                                    จนกระทั่งปี ค.ศ. 1877 เมื่อโธมัส เอดิสัน ค้นพบจานเสียงที่
                                                    ท าด้วยแผ่นดีบุกทรงกระบอก และพัฒนาจนเป็นแผ่นเสียง
                                                    (Phonograph) เช่นในปัจจุบัน ท าให้เกิดการปฏิวัติทางดนตรีก็

                                                    ว่าได้ ดนตรีสามารถฟังที่บ้านได้ ต่อมาเมื่อปลายศตวรรษที่ “
                                                    Daid Caruso “ นักร้องเสียงเทนเนอร์ (Tenor) ผู้ยิ่งใหญ่ได้เซ็น
                                                    สัญญากับบริษัทแผ่นเสียง เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1902 และ
                                                    ท่านได้รับเงิน 100 ปอนด์เป็นค่าจ้างในการบันทึกเสียง
                       Frederic Chopin (1810-1849)
                      คีตกวีคนส าคัญของยุคโรแมนติก

                   อีก 20 ปีต่อมาแผ่นเสียงที่ท่านได้กลายเป็นเศรษฐี ฐานะของนักดนตรีเริ่มเปลี่ยนไป นักดนตรี

                   นักร้อง กลายเป็นผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ในปี ค.ศ. 1910 เพลงคลาสสิก
                   เป็นที่นิยมฟังกันทั่วโลก (เริ่มจากการอัดแผ่นเสียง) หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1920 ดนตรีแจ๊สเป็น
                   ที่นิยมตามมา ด้วยเทคโนโลยีอันก้าวไกลได้ท าให้การดูคอนเสิร์ตเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องยากอีก
                   ต่อไป เสียงดนตรีที่ไพเราะและภาพการ แสดงคอนเสิร์ตสามารถหาดูได้ที่บ้าน ทั้งทาง วิทยุ
                   โทรทัศน์ โดยผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น วีดีโอเทป แผ่นซีดี ดีวีดี เป็นต้น เอดิสันได้น าดนตรีมาสู่บ้าน

                   ดนตรีคลาสสิกที่เคยจ ากัดอยู่แต่ในราชส านักในกรุงเวียนนา บัดนี้ได้แพร่หลายไปทั่วโลก
                   คุณค่าแก่การฟังและอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติของมนุษย์ชาติสืบไป



                   (บทความจากหนังสือดนตรีคลาสสิก)
   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13