Page 102 - 10_พระราชบญญตตำรวจแหงชาต2547_Neat
P. 102

๙๕




                             ขาราชการตํารวจผูใดกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงในกรณีดังตอไปนี้ ถือเปนกรณีความผิด
                 ที่ปรากฏชัดแจง ซึ่งผูบังคับบัญชาจะดําเนินการทางวินัยตามมาตรา ๘๙ หรือมาตรา ๙๑ โดยไมตอง

                 สืบสวนขอเท็จจริงหรืองดการสืบสวนขอเท็จจริงก็ได
                             (๑)  กระทําผิดตอหนาผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจลงโทษ
                             (๒)  กระทําความผิดอาญาจนตองคําพิพากษาถึงที่สุดวาผูนั้นกระทําผิดและผูบังคับบัญชา

                 เห็นวาขอเท็จจริงที่ปรากฏตามคําพิพากษานั้นไดความประจักษชัดแลว
                             (๓)  กระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงและไดรับสารภาพเปนหนังสือตอผูบังคับบัญชาหรือให

                 ถอยคํารับสารภาพตอผูมีหนาที่สืบสวนขอเท็จจริง หรือคณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริงตามกฎหมาย
                 วาดวยตํารวจแหงชาติ และไดมีการบันทึกถอยคํารับสารภาพเปนหนังสือ
                             หรือขาราชการตํารวจผูใดกระทําผิดวินัยอยางรายแรงในกรณีดังตอไปนี้ ถือเปนกรณีความผิด

                 ที่ปรากฏชัดแจง ซึ่งผูบังคับบัญชาจะดําเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๐ หรือมาตรา ๙๑ โดยไมตอง
                 สอบสวนหรืองดการสอบสวนก็ได

                             (๑)  กระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษจําคุกหรือโทษที่หนักกวาจําคุก โดยคําพิพากษา
                 ถึงที่สุดใหจําคุกหรือใหลงโทษที่หนักกวาจําคุก เวนแตเปนโทษสําหรับความผิดที่ไดกระทําโดยประมาท
                 หรือความผิดลหุโทษ

                             (๒)  ละทิ้งหนาที่ราชการติดตอในคราวเดียวกันเปนเวลาเกินกวาสิบหาวันและผูบังคับบัญชา
                 ไดดําเนินการสืบสวนแลวเห็นวาไมมีเหตุผลอันสมควรหรือมีพฤติการณอันแสดงถึงความจงใจไมปฏิบัติ

                 ตามระเบียบของทางราชการ
                             (๓)  กระทําผิดวินัยอยางรายแรงและไดรับสารภาพเปนหนังสือตอผูบังคับบัญชาหรือให
                 ถอยคํารับสารภาพตอผูมีหนาที่สืบสวนขอเท็จจริง คณะกรรมการสืบสวนขอเท็จจริง หรือคณะกรรมการ

                 สอบสวนตามกฎหมายวาดวยตํารวจแหงชาติ และไดมีการบันทึกถอยคํารับสารภาพเปนหนังสือ
                             ÁÒμÃÒ øø  เมื่อมีเหตุจําเปนจะตองกักตัวขาราชการตํารวจซึ่งถูกกลาวหาไวเพื่อประโยชน

                 ในการสอบสวน เชน จะหลบหนี หรือจะไปทําราย หรือขมขูผูเสียหายหรือพยาน ใหผูบังคับบัญชามี
                 อํานาจกักตัวขาราชการตํารวจนั้นระหวางดําเนินการสอบสวนไดเทาที่จําเปนแกการสอบสวน แตตอง

                 ไมเกินอํานาจลงโทษกักขังของผูสั่งกักตัวและตองไมเกินสิบหาวัน
                             ในกรณีที่ขาราชการตํารวจตามวรรคหนึ่งถูกลงโทษกักยามหรือกักขังใหหักจํานวนวันที่
                 ถูกกักตัวออกจากระยะเวลากักยามหรือกักขังดวย และในกรณีที่ถูกลงโทษทัณฑกรรม ใหถือวาการถูก

                 กักตัวเปนการรับโทษสําหรับความผิดนั้นแลว
                             ÁÒμÃÒ øù  ขาราชการตํารวจผูใดกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง ใหผูบังคับบัญชา

                 สั่งลงโทษภาคทัณฑ ทัณฑกรรม กักยาม กักขัง หรือตัดเงินเดือนตามควรแกกรณีใหเหมาะสมกับความผิด
                 ถามีเหตุอันควรลดหยอนจะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได แตสําหรับการลงโทษภาคทัณฑ

                 ใหใชเฉพาะกรณีกระทําผิดวินัยเล็กนอยหรือมีเหตุอันควรลดหยอน ซึ่งยังไมถึงกับจะตองถูกลงโทษ
                 ทัณฑกรรม
   97   98   99   100   101   102   103   104   105   106   107