Page 146 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 146
666
แต่ถ้าเรา...จิตตรงนี้ทาหน้ารับรู้เป็นความสุข เป็นความสงบ ไม่ต้องหา แค่นิ่ง ๆ มารู้ตัวนี้ก็สุขแล้ว มาดูจิตที่ทาหน้าที่รู้ตัวนี้มีความสุข อันนี้มันก็จะบานออกมา นิ่ง ๆ นิดเดียวเขาก็สุข เขาจะบานออกมา เป็นการยกจิตง่าย ๆ แต่ไม่ง่ายนะ ที่เล่ามานี่พูดง่ายมากเลย ต่อไปก็ง่ายขึ้นแหละ อธิบายชัดขนาดนี้ ถ้าไม่ ง่ายก็ไม่รู้จะทาอย่างไรแล้ว ถ้าไม่ง่ายก็ยากต่อไป
เพราะฉะนั้นการที่เราดูสภาพจิต สภาพจิตนี่นะ เรารู้สภาพจิตที่เป็นบรรยากาศบ่อย ๆ บรรยากาศ ถ า้ เ ป ร ยี บ ก ก็ ล า ย เ ป น็ อ ง ค ฌ์ า น พ อ จ ติ เ ป ล ยี ่ น ฌ า น จ ติ ค อื จ ติ ท เี ่ ป ล ยี ่ น ไ ป ก เ็ ป น็ ก า ล งั ฌ า น ค น ท จี ่ ะ ม ฌี า น ไ ด ้ คือจิตต้องมีสมาธิ คือจิตที่มีสมาธิแนบแน่นกับองค์ฌานกับอารมณ์อันนั้น แล้วองค์ฌานก็เกิดขึ้น และถ้า เราแนบแนน่ กบั ความวา่ งละ่ แนบแนน่ กบั ความสงบและจติ เรากเ็ ปน็ ความสงบเอง เรากต็ งั้ มนั่ ตงั้ อยแู่ ลว้ ใช้ งานบ่อย ๆ ทาอย่างไรเขาจะแนบแน่น ๆ คือสนใจเขาบ่อย ๆ ดูบรรยากาศที่รองรับบ่อย ๆ นี่นะ เราเจริญ กรรมฐาน ทั้งกาลังของฌานและมาใช้กับการพิจารณาอาการพระไตรลักษณ์ เพราะฉะนั้นนี่เป็นทั้งธาตุรวม กันก็คือ เราทั้งสมถะวิปัสสนาไปด้วยกันตลอดเวลา เราไม่ได้แยกสมถะอยู่นี่ วิปัสสนาอยู่นี่ เพราะฉะนั้น สภาวธรรมเขาจึงชัด
มันจึงชัดเพราะเป็นการปรับอินทรีย์เรา สติสมาธิปัญญา พอสติอ่อนก็เพิ่มสติเข้าไป พอสมาธิอ่อน เพิ่มความนิ่งเพิ่มความสงบ กลายเป็นว่าปรับอินทรีย์ กลายเป็นกาลังขึ้นมา เห็นไหม นี่คือสภาวธรรมที่ บอกว่า ดูสภาพจิตให้เป็นบรรยากาศ เริ่มแรกเลยนี่นะ แยกรูปนามทาจิตให้ว่างให้กว้างออกไป กว้างกว่า ตัว มันเป็นพื้นฐานที่เริ่มขั้นตอนที่ทั้งวิปัสสนาและสมถะไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นสภาวธรรมเวลาอ่อนกาลัง เราก็เพิ่มได้ เพิ่มได้ เพิ่มกาลังไปได้
ทีนี้คาว่าสภาพจิต ที่สาคัญอย่างยิ่งเลยก็คือว่า การที่เราปฏิบัตกาหนดรู้แบบนี้มีบรรยากาศรองรับ รู้ว่าเป็นบรรยากาศของสภาพจิต จะทาให้เราตรวจสอบตัวเองได้มากขึ้น เห็นช้ดขึ้นว่าตอนนี้มีตัวตนไหม ขณะนี้รับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น พอมีผัสสะขึ้นมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราเคยว่างเบา แต่ทาไม ตอนนี้ ผสั สะนขี้ นึ้ มาแลว้ มนั กระแทกเขา้ มาทจี่ ติ เรา เปน็ กอ้ นเปน็ กลมุ่ วบู เขา้ มา วบู เสรจ็ หนกั ๆ ขนึ้ มา เอ!้ รับรู้ด้วยจิตแบบไหน มีตัวตนไหม เราจะเห็นชัดทันทีว่า อ๋อ!ตอนนี้มีเราเกิดขึ้นแล้ว เราก็ดับความเป็นเรา
หรือตอนนี้ปึ๊บขึ้นมาแรงก็จริง มีเวทนา เวทนาเข้มข้นแต่ไม่มีเรา พอไม่มีเราปึ๊บ มีแต่สติ ตั้งมั่น นิ่ง และรู้ก็ถึงเวทนา ผลผัสสะที่เกิดขึ้น มีผัสสะกระทบแรง ๆ ขึ้นมา พอนิ่งมีสติรู้ปึ๊บ เวทนานั้นเป็นอย่างไร กระจายไป ค่อย ๆ ลดลง ค่อย ๆ ดับไป ค่อย ๆ หายไป เป็นอาการเกิดดับของเวทนา กาหนดรู้ถึงแม้ เวทนานั้น จะเป็นเวทนาฝ่ายอกุศลหรือเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เป็นความแน่นความอึดอัดขึ้นมา แต่ก็เป็นเวทนา ที่เกิดจากผัสสะที่เข้ามากระทบ ตรงนี้แหละคือการพิจารณา การดูสภาพจิตดูจิตบ่อย ๆ เราจะเห็นว่าจิตเรา ดีขึ้นอย่างไร สะอาดขึ้นอย่างไร และจิตที่ว่างที่สะอาดอยู่แล้ว เวลาผัสสะขึ้นมากระทบ พอขุ่นขึ้นมาเขาตั้ง อยู่นานไหม ขุ่นขึ้นมาปุ๊บพอมีสติรู้ รู้สึกปุ๊บเขาจางไป ดับไป
ตรงนี้เป็นตัวบอกถึงอายุอารมณ์ด้วยว่า การกาหนดการปฏิบัติเราพัฒนาจิตถึงเป็นตรงนี้แล้ว อายุ อารมณ์ที่เข้ามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราตั้งอยู่นานแค่ไหน จบเร็วกว่าเดิมแค่ไหน ตรงที่