Page 170 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 170

690
กระเพื่อม ๔ ถึง ๕ ขณะเหมือนเดิม แต่แคบลงมา แคบลง น้อยลง เล็กลง หรือจาก ๔ ถึง ๕ ขณะ เหลือ ๒ ขณะ เหลือ ๓ ขณะ แล้วก็เหลือแต่ขณะเดียว
แทนที่จะเป็นอาการกระเพื่อม พอนิ่งปุ๊บมีอาการผุดปื๊บขึ้นมาแล้วดับ ผุดปุ๊บขึ้นมาแล้วดับ นั่น คือไม่มีอาการกระเพื่อมออกไป ตรงนี้กลายเป็นเหลือแค่การเกิดดับที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ในความสงบ อันนั้น ผุดแล้วดับ ๆ ตรงนี้แหละเป็น...พอเจอพอเห็นอาการแบบนี้ปื๊บ เรากาหนดอาการนี้ไป ยังไม่ต้อง ห่วงเรื่องสภาพจิต ซึ่งจริง ๆ แล้วเราสามารถรู้สึกได้ ขณะที่อาการเกิดดับ จากที่กระเพื่อมไป ๆ แล้วมา เปลี่ยนเป็นมีอาการผุดขึ้นมาแล้วดับ ผุดขึ้นมา ๆ บานออกแล้วหุบลงดับไป หรือว่าผุดขึ้นมาแล้วดับเฉย ๆ อันนี้คือการสังเกต อันนี้คือจุดที่โยคีจะต้องสังเกต เพราะอาการที่ผุดขึ้นมาเหมือนบาน บานออกเหมือน ดอกเห็ด หรือเหมือนดอกไม้แล้วก็หุบลง แล้วก็ดับไป
อันนี้คือลักษณะของอาการเกิดดับที่เปลี่ยนไป อาการเกิดดับแบบนี้ เราจะรู้สึกได้เลยว่า สภาพจิต เป็นไปอย่างไร จากที่สงบเงียบ ๆ จากที่สงบเงียบ พอตามรู้อาการ จากเป็นคลื่นจนมาถึงตอนนี้ ตามรู้ไป แล้วสภาพจิตรู้สึกอย่างไร รู้สึกตื่นตัวขึ้นจากที่เงียบ ๆ อยู่ มีความตื่นตัวขึ้น มีความตั้งมั่นขึ้น สงบ... เป็นความสงบที่รู้สึกชัดในอาการที่ปรากฏขึ้นมา จิตมีกาลังมากขึ้น นั่นคือลักษณะของสภาพจิต ที่ปรากฏ ขึ้นมาที่เรารู้สึกได้ทันที หรือพอกาหนดรู้อาการเกิดดับที่ปรากฏขึ้นมา ว่าเป็นขณะ ๆ แล้ว ดับไปแต่ละครั้ง ความรสู้ กึ รสู้ กึ สวา่ งขนึ้ ๆ ตรงทสี่ วา่ งขนึ้ เปน็ ผลทตี่ ามมา แตเ่ ปน็ ลกั ษณะเหมอื นการเกดิ แตท่ เี่ ราตอ้ งสงั เกต คือ ลักษณะการดับ ที่ผุดขึ้นมาแล้วดับแบบไหน ดับแล้วเด็ดขาดไหม ก่อนที่จะสว่างขึ้น ดับแล้วเด็ดขาด ดับแล้วเงียบไป ดับแล้วว่างเงียบไป แล้วสว่างขึ้นมา ดับเงียบสว่างขึ้น ดับเด็ดขาดมากขึ้นไหม นั่นคือจุด ที่โยคีจะต้องใส่ใจ
เพราะความสว่างขึ้น เป็นผลที่เกิดขึ้นอย่างไรเราก็รู้ ส่วนใหญ่แล้วจะใส่ใจตรงที่ดับแล้วสว่าง ๆ ๆ พอถามว่า อาการดับนั้นดับแบบมีเศษหรือไม่มีเศษ ต้องมานั่งคิดนิดหนึ่งว่า เมื่อกี้นี้เราไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควร ไม่ได้สังเกต เพราะฉะนั้นจุดที่สังเกตอาการเกิดดับก็คือ อาการเกิดดับ อย่างเช่นผุดขึ้นมา บานขึ้นมา แล้ว ก็หุบ แล้วก็ดับไป นั่นคือเห็นตั้งแต่การเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับ เป็นการกาหนดรู้ถึงอาการเกิดดับที่ปรากฏ ขึ้น และผลที่เกิดขึ้น ยิ่งเห็นอาการเกิดดับไป จิตมีความผ่องใสขึ้น หรือสว่างขึ้น เห็นอย่างไรก็อย่างนั้น
หรือกาหนดรู้แล้วมีอาการเกิดดับ ดับฟึ๊บไป ยิ่งดับยิ่งสงบ ยิ่งดับยิ่งสงบ ไปเป็นจุดขึ้นมาแล้ววู๊บ หาย ๆ ๆ ๆ ลึกลงไป เล็กลงไปหรือเปล่า นั่นคือจุดที่เราต้องสังเกตว่ายิ่งปื๊บ ๆ ๆ ไป อาการเกิดดับตรงนี้ เปลี่ยนไปอย่างไร และสภาพจิต...รู้สึก ยิ่งเกิดดับ ยิ่งตามรู้ไป จิตยิ่งเงียบ ยิ่งสงบ ยิ่งดิ่ง ยิ่งลึกลงไป ยิ่ง ดงิ่ ลกึ เทา่ ไหร่ ยงิ่ สงบยงิ่ สงดั ยงิ่ เงยี บมากเทา่ นนั้ นนั่ คอื ลกั ษณะของสภาพจติ ทเี่ ราพงึ จะตอ้ งสงั เกต และการ สังเกตในนี้แบบนี้ เวลาเล่าสภาวะก็ต้องเล่าตามที่เห็น ไม่ใช่บอกว่า ไม่ใช่แค่พูดว่ามันดิ่งลึก ๆ ๆ ๆ ลงไป เฉย ๆ ต้องรู้ว่าผลที่ตามมา ยิ่งกาหนดตามกาหนดตามรู้ไป เป็นอย่างไร อันนี้อย่างหนึ่ง
ทีนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า อันนี้การเริ่มจากดูสภาพจิต จิตที่มีอาการกระเพื่อม ขยายออกไป แล้วก็ เปลี่ยนไป กลายเป็นเหลือเป็นอาการเกิดดับ เป็นสภาวธรรม ตรงนี้เกิดขึ้นจนตามรู้ต่อไป ถ้าเป็นแบบนี้


































































































   168   169   170   171   172