Page 191 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 191
711
ทนี ตี้ วั จติ อกี ดวงหนงึ่ กค็ อื วา่ นอกจากความคดิ แลว้ ตวั จติ เอง ตวั จติ ทที่ า หนา้ ทรี่ ู้ ตวั รอู้ นั นเี้ ขาเรยี ก ว่าอะไร วิญญาณขันธ์ วิญญาณจิต จิตที่ไปรับรู้ทางตา จิตดวงนี้ทาหน้าที่รับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับรู้ทุกเรื่อง เป็นวิญญาณขันธ์ เพราะฉะนั้นการที่เราปฏิบัติ จึงให้สังเกตอาการเกิดดับของกายเวทนา จิตแล้วก็ธรรม ก็กลายเป็นว่า เรารู้ธรรมชาติของรูปนามที่มีการเกิดดับ ที่เรามักจะเข้าใจว่ารูปนามขันธ์ ๕ ร่างกายรูปนามขันธ์ ๕ นี้เป็นตัวเรา เป็นของเรา เพราะเราเข้าใจอย่างนั้นมาตั้งแต่เกิด หรือก่อนเกิดไม่รู้นะ คงจะเข้าใจมาหลายภพชาติแล้ว ถึงปล่อยวางได้ยาก จึงรู้สึกว่า อะไรก็เป็นของเรา ๆ ถ้าเป็นแค่ชาตินี้คงลืม ไปแล้วแหละ อะไรที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ เราก็จาได้ไม่นาน
ทีนี้ลองดูนะว่า พอเรายกจิตขึ้นสู่ความว่างปื๊บนี่นะ ทาจิตให้ว่าง ให้กว้าง จิตที่ว่าง ที่เบา กว้างกว่า ตัวปุ๊บนี่นะ ลองสังเกตดูว่า พอยกจิตขึ้นสู่ความว่าง พอจิตว่าง จิตที่ว่างรู้สึกเบา รู้สึกโล่ง จิตที่เบาว่างกว้าง กว่าตัว แล้วตัวหนักหรือเบา...เบาไปด้วย ตรงนี้เราเห็นอะไร เห็นจิตที่ว่าง...คือเห็นนาม กายที่เบาเป็นรูป เห็นรูปกับนามแยกกัน พอแยกกันปุ๊บ เขารู้สึกเบาโล่งก็คลายอุปาทานคือไม่ไปยึด ตรงนี้เห็นอะไร สังเกต ต่ออีกนิดหนึ่งนะว่า พอเป็นอย่างนี้ จิตที่เบา ๆ เขาบอกว่าเป็นเราไหม...ไม่บอกว่าเป็นเรา แล้วตัวที่เบาที่นั่ง อยู่ที่ว่าง ๆ เขาบอกว่าเป็นเราไหม...ไม่แน่ใจ แน่ใจนะ...ว่าไม่บอกว่าเป็นเรา รู้สึกเขานั่งอยู่ในที่ว่าง ๆ ตรง นี้เห็นอะไร นี่คือการเห็นถึงสัจธรรม
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า รูปนามแยกกัน เขาเรียก นามรูปปริจเฉทญาณ หรือปัญญาที่เห็นว่ารูปกับ นามแยกจากกัน นี่คือธรรมชาติจริง ๆ พอเห็นความจริงตรงนี้ ความเป็นเราหายไป พอเห็นแค่ ๒ อย่างนี้ ความรสู้ กึ วา่ เปน็ เราหายไป ทเี่ คยเขา้ ใจวา่ เปน็ ตวั เรา เปน็ ของเรา อนั ไหนทบี่ อกวา่ เปน็ เรา ตวั นคี้ อื การสา รวจ พิจารณาสภาวธรรมที่เกิดขึ้น และโดยธรรมชาติ เราก็จะเห็นอีกว่า ลองสังเกตดูนะว่า จิตนี่นะเขาอยู่กับ กายตลอดเวลาไหม...ไม่มีนะ เดี๋ยวก็ไปที่เสียง เดี๋ยวก็ไปที่ภาพที่เห็น เดี๋ยวก็วิ่งมาที่ตัว เดี๋ยวก็ไปโน่น ไปนี่ ถามว่าเพราะฉะนั้นเขาเป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วน...ตรงนี้
แต่ทาไมเรารู้สึกว่าเขาต้องอยู่นี่นะ ห้ามไปไหนนะ แทนที่จะพัฒนาสติให้ไวขึ้นให้เห็นชัดถึง ธรรมชาติที่เขาเป็น แต่เราก็พยายามบังคับ พอบังคับไม่ได้เป็นอย่างไร...ทุกข์ เขาเรียกปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น เพราะเราไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แต่เราพยายามบังคับฝืนของเขา แต่ที่ให้รู้อาการ ทางกาย มาดูว่า แล้วทาไมต้องมารู้อาการของลมหายใจ รู้อาการพองยุบ เพราะการเริ่มต้น การยกจิตขึ้น สู่ความว่าง การเริ่มต้นด้วยการมีอารมณ์หลักให้กับจิตเรา มีอยู่ ๒ อย่าง ก็คือว่า การที่เรามีอารมณ์หลัก ให้กับจิต ตามรู้อาการทางกาย อย่างที่บอกแล้วว่า อาการทางกายที่เกิดขึ้นไม่ต้องปรุงแต่ง เขามีอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว
การตามรู้อาการทางกายแบบนี้ การตามรู้อย่างต่อเนื่อง มีสติจดจ่ออยู่กับอารมณ์ปัจจุบันอย่าง ต่อเนื่อง สมาธิก็จะเพิ่มขึ้น ที่บอกว่าทาให้สมาธิตั้งมั่นขึ้น รู้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะใช้คาบริกรรม พุทโธ หรือพองยุบ แต่สังเกตไหมว่า เจตนาเป้าหมายของเรา คือมีสติรู้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน ทีนี้วิปัสสนา ไมใ่ช่แค่รู้ให้จิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นวิปัสสนาใช้ปัญญาควบคู่กันไปเมื่อรู้ว่าอารมณ์ปัจจุบันแล้วสังเกตว่า