Page 69 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 69
589
ของเวทนาที่ปรากฏขึ้น จิตจะไม่ขุ่นมัว ไม่เศร้าหมอง จิตจะไม่มีความขุ่นมัว ไม่เศร้าหมอง กิเลสไม่เกิดขึ้น ไม่ครอบงา
ถึงแม้บางครั้ง เวทนาที่เกิดขึ้นมา กล้ามาก ๆ แทบจะทนไม่ได้ ๆ แต่ก็ทนไม่ได้เพราะเวทนาแก่กล้า ไม่ใช่เพราะกิเลสแก่กล้า ไม่ใช่เพราะกิเลสมีกาลังมาก แล้วทนไม่ได้ อันนั้นคืออย่างหนึ่ง นี่คือการพิจารณา สภาวธรรมที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าเวทนาที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่อุปสรรคของการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ อุปสรรค หรือไม่ใช่มาร แต่เป็นสภาวธรรมธรรมดาธรรมชาติที่เกิดขึ้น ต้องทาหน้าที่ของตน
เช่นเดียวกันกับความคิดที่เกิดขึ้น ความคิดที่เกิดขึ้น เวลาเราเจริญกรรมฐาน กาหนดรู้ไป เดี๋ยว ความคดิ เขา้ มามากมาย ถา้ กา หนดรวู้ า่ ความคดิ นนั้ ความคดิ กบั จติ ทที่ า หนา้ ทรี่ แู้ ยกสว่ นกนั แลว้ เหน็ ความ คิดนั้นเกิดอยู่ในที่ว่าง ๆ ความคิดไม่ได้อยู่ในตัว ความคิดไม่ได้อยู่ที่หัว แต่ความคิดนั้นเกดิ ขึ้นอยู่ในความ ว่าง เกิดขึ้นอยู่ในความสงบ เกิดขึ้นอยู่ในที่โล่ง ๆ เกิดขึ้นอยู่ท่ามกลางความใส แต่ทาอย่างไร การที่เราจะ เห็นได้ว่า ความคิดเกิดขึ้นอยู่ในที่ไหน อยู่ในบรรยากาศแบบไหน ก็ทาแบบเดียวกันกับการกาหนดรู้เวทนา นั่นแหละ
กาหนดรู้แบบไหน คือดูจิต ถ้าจิตสงบแล้ว จิต...ดูกว้างกว่าตัว กว้างกว่าตัว กว้างเท่าศาลา เมื่อมี ความคดิ เกดิ ขนึ้ มา เรากจ็ ะเหน็ วา่ ความคดิ นนั้ อยใู่ นหวั อยทู่ ตี่ วั หรอื อยทู่ วี่ า่ ง ๆ อยขู่ า้ งหนา้ เกดิ อยทู่ า่ มกลาง ความสงบ ความคิดเยอะแยะมากมาย แต่ว่าเกิดอยู่ท่ามกลางความสงบ ความสงบนั้นเป็นอะไร ความสงบ นั้นก็คือตัวสภาพจิต จิตไม่วุ่นวาย ไม่กระสับกระส่ายไปตามความคิดที่เกิดขึ้น ความคิดจึงเป็นเพียงความ คิด สัญญาสักแต่ว่าสัญญา สังขารก็ทาหน้าที่ สักแต่ว่าสังขาร ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
และยิ่งพอใจ มีตัวฉันทะ มีความพอใจที่จะเข้าไปกาหนดรู้ ถึงอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของ ความคิด ที่เกิดขึ้นมาในแต่ละขณะ ๆ จากที่เราเคยคิดว่าความคิดเป็นมาร มาขัดขวางการเจริญกรรมฐาน ความคิดรบกวน ทาให้สติไม่ตั้งมั่น ทาให้สมาธิไม่สงบ มีแต่ความวุ่นวาย บัดนี้ เราจะได้เห็นว่า ความคิด ไม่ใช่มาร แต่ตัวที่เป็นมารคือความอยาก คือตัวกิเลส คือความไม่รู้ คือกาลังของสติ สมาธิ ปัญญาไปไม่ถึง จึงรู้สึกว่า ความคิดนั้นเป็นมาร เป็นอกุศล เป็นตัวขัดขวางการปฏิบัติ
แต่จริง ๆ แล้ว เปล่าเลย เพราะอกุศล เพราะปัญญายังไม่เกิดต่างหาก นั่นเป็นเหมือนมาร อวิชชาที่ เกิดขึ้นมา ถูกครอบงา เห็นสภาวธรรมนั้น...ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง เพราะความยึด เพราะความเข้าใจ ผิด จึงทาให้ความคิดนั้นเข้ามารบกวนจิตใจ ทาให้เกิดความรู้สึกกระสับกระส่าย วุ่นวาย อยู่ไม่เป็นสุข ไม่ สงบนั่นเอง เพราะฉะนั้น การแยกรูปนาม การแยกรูปแยกนาม แยกจิตกับจิต จึงเป็นสิ่งสาคัญ จึงจะได้ เห็นถึงสัจธรรมความเป็นจริง ของสภาวธรรม ของรูปนามที่เกิดขึ้นจริง ๆ
เพราะฉะนนั้ ถา้ เราพจิ ารณาแบบนี้ เรากจ็ ะเหน็ วา่ ความคดิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ...เวลาจะเดนิ จงกรม ความคดิ ที่ เกิดขึ้น...เวลานั่งกรรมฐาน นั่นไม่ใช่มารเลย เป็นสัญญาเก่า เป็นแค่ขันธ์ ๆ หนึ่ง ที่ทาหน้าที่ของตน ๆ เพียง แต่ว่า มาก่อนที่จิตจะสงบแค่นั้นเอง มาก่อนที่จิตจะสงบ...ก็มา เริ่มต้นหลับตาลง หรือเริ่มนั่งกรรมฐาน...