Page 113 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 113

89
ทางใจ เขาเรียกว่า “จิตสังขาร” การปรุงแต่งทางจิตเรา แล้วก็อีกตัวหนึ่งก็ คือ ตัว วิญญาณรู้ วิญญาณคือ จิตที่ทาหน้าที่รู้ ก็รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น
เราไม่รู้ความจริงในขันธ์ห้านี่แหละ ถึงทาให้เราทุกข์.. ไม่รู้อย่างไร ? ไม่รู้ว่ารูปนี้เขาเป็นธรรมชาติของเขาอย่างนี้ รูปไม่ได้บอกว่าเป็นเรา ลอง พิจารณาดูสิ.. ตัวนี้บอกว่าเป็นเราไหม ? ร่างกายอันนี้เขาบอกว่าเป็นเรา หรือเปล่า ? ตกอยู่ในอานาจของเรา เราควบคุมได้หมดไหม ? อาการที่เกิด ขึ้นกับร่างกายของเรา ความเจ็บปวด เมื่อย ชา เกิดขึ้น เราสั่งให้หาย หาย ได้ไหม ? ก็ไม่ได้.. เวทนาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เราบอกให้เขาดับไปได้ ไหม ? ก็ไม่ได้อีก ต้องอาศัยเหตุปัจจัย
สัญญาความจา ตัวนี้สาคัญ สัญญาต่าง ๆ ความจาเรื่องราวที่ผ่านมา ในอดีต ทั้งดีและไม่ดี จริง ๆ ธรรมชาติของตัวสัญญา เขาทาหน้าที่จา เขา จาทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งดีและไม่ดี พอจาแล้ว ก็มาปรุงแต่ง ซึ่งเป็นตัวสังขาร พอเรื่องราวในอดีตเกิดขึ้นมาถูกใจ เราก็ปรุงแต่งในสิ่งที่ดี ไม่ถูกใจ เราก็ ปรุงแต่งในสิ่งที่ไม่ดี ปรุงแต่งให้เป็นอกุศล พอปรุงแต่งเป็นอกุศลมาก ๆ อะไรตามมา ? ความทุกข์ก็เกิดขึ้น ความเศร้าหมองของจิตก็เกิดขึ้น จิตก็ ทาหน้าที่รู้ สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้
ที่บอกว่าขันธ์ห้าเขาไม่ได้เป็นส่วนเดียวกัน รูปส่วนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นนาม แล้วเขาเกิดขึ้นคนละขณะด้วย ถ้าเรามีสติดี ๆ เราจะเห็นว่าขันธ์ห้าที่ทาให้เราทุกข์ เขาเกิดคนละขณะ เวลาเรามีความสุข ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้ เวลาเราสงบ จิตก็ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีตัวจิตสังขาร เวลา เราปรุงแต่ง ความสงบก็ไม่เกิดขึ้น ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น
เพราะความไม่เข้าใจว่าขันธ์ห้านี้ เขาเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่ เนืองนิจ จึงเข้าไปยึดว่า รูปเป็นของเรา เวทนาเป็นของเรา สัญญาเป็นของ เรา สังขารเป็นของเรา และวิญญาณเป็นเรา เพราะมีเราขึ้นมา ความทุกข์จึง เกิดขึ้น ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง ในธรรมชาติของรูปนามที่กาลังเป็นไป


































































































   111   112   113   114   115