Page 171 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 171

147
ให้ทัน ทันทั้งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราต้องมีเจตนาที่จะรู้ทั้งหมด ตั้งแต่ เริ่มเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ถ้าถามว่าเขาดับอย่างไร แล้วเราไปรอรู้ที่ อาการดับอย่างเดียว จะไม่ทัน แต่ถ้าไปรู้ตั้งแต่เริ่มเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับ ไป ก็จะกาหนดอาการนั้นทัน
เพราะฉะนั้น เรามาประชุมรวมกันในวันนี้ มาปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันนี้ ก็ด้วยการพิจารณารู้ความจริงของสภาวธรรมทั้ง หลายที่เกิดขึ้น เข้าใจความจริงที่ว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ สังขาร ทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา” และ “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น” เพราะ มันเป็นเช่นนั้นเอง
การที่เรากาหนดรู้ถึงอาการเกิดดับของรูปนามของอารมณ์ที่ เกิดขึ้น และไม่ปรุงแต่ง ตรงนี้เราจะเป็นเพียงผู้รู้ จะทาให้เราหลุดออก จากวัฏสงสาร วงจรของการเวียนว่ายตายเกิด ตรงไหนที่จะหลุดออกได้ ? พระพุทธเจ้าบอกว่า วัฏสงสารหรือองค์ของปฏิจจสมุปบาทนั้น ไม่มีจุดเริ่ม ต้นและไม่มีที่สิ้นสุด นับตรงที่ว่า.. นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์โทมนัสสะ อุปายาสะ ครบรอบ เป็นสิบ สอง ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่การที่จะตัดภพชาติ เราอาศัย “ปัจจุบัน” ปัจจุบันตรงไหน ? ก็ คือ “ผัสสะ” ปัจจุบันขณะนี้เดี๋ยวนี้ ผัสสะรับรู้อะไร ? ที่บอก.. ผัสสะ แล้ว มีเวทนา เวทนาเกิด ตัณหาไม่เกิด เพราะเรารู้เท่าทันและไม่ปรุงแต่งต่อ มัน ก็จะดับไปหายไป ฉะนั้น การรู้ขณะแรกของอารมณ์ เราเห็นอาการเกิดดับ ของรูปนาม อารมณ์นี้เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป จิตที่ทาหน้าที่รู้ดับไปด้วย นั่น คือ “การตัดวัฏสงสาร” ไม่ปรุงแต่งต่อ ไม่สร้างภพชาติต่อ ไม่ให้เวทนานั้น มาเป็นปัจจัยให้เราเข้าไปเกาะเกี่ยว ยึดติด ยึดมั่นถือมั่น สร้างภพชาติขึ้นมา
ภพ คือ การตั้งอยู่ ภพ ชาติ คือ การเกิด ตั้งอยู่ ชรา มรณะ แก่


































































































   169   170   171   172   173