Page 190 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 190

166
เป็นเรา ? ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัย
ถา้ เราพจิ ารณาถงึ การเกดิ ขนึ้ ตงั้ อยู่ ดบั ไป ดว้ ยความรสู้ กึ ทไี่ มม่ ตี วั ตน
ก็จะเห็นว่าแต่ละธรรม แต่ละสภาวะ แต่ละอาการที่เกิดขึ้น เกิดดับอยู่ที่ไหน เกิดดับอยู่ในที่ว่าง ๆ เกิดแล้วดับไป มีแล้วหมดไป มีแล้วหายไป อยู่เนือง ๆ แต่เราต้องสังเกต ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาให้ชัดเจน ก่อนที่จะพิจารณา ชัดเจนแบบนั้นได้ เราต้องพิจารณาอย่างไม่มีตัวตน ยกจิตขึ้นสู่ความว่าง ทา จิตให้ว่าง ให้กว้าง แล้วให้ธรรมชาติเหล่านั้นเขาประกาศตัวเขาเองว่าเป็น อย่างไร เกิดขึ้นมาแล้วดับไป เกิดขึ้นมาแล้วดับไป
การที่พิจารณารู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของรูปนามเนือง ๆ จะ ทาให้จิตใจรู้สึกผ่องใส เป็นการขัดเกลาจิตใจไปในตัว ทาให้จิตใจบริสุทธิ์ ผ่องใสและเบิกบาน ทาให้ชีวิตเรามีความทุกข์น้อยลง เราชาวพุทธควร พิจารณาถึงสภาวธรรม ถึงธรรมชาติจริง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น พระ- พุทธเจ้าถึงบอกว่า การยึดเอาความจริงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด หรือ เป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดก็คือ ยึดความจริงตรงนี้ คือสภาพความ เป็นจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร
การปฏิบัติธรรมของเราก็เหมือนกัน เราก็รู้สภาวะจริงที่เกิดขึ้น อย่างเช่น สภาพจิตใจรู้สึกใส โล่ง โปร่ง เบา ก็ให้รู้ชัดว่าโล่ง โปร่ง เบา หรือ ใส ความโล่ง โปร่ง เบา ใส ดีอย่างไร ? และในความรู้สึกที่โล่ง โปร่ง เบา ใส มีอะไรเกิดขึ้น ? มีกิเลสตัวไหนเกิดขึ้นบ้าง ? มีอกุศลตัวไหนเกิดขึ้นบ้าง หรือไม่มี ? ก็พิจารณาดู เรายิ่งดู สภาพจิตยิ่งใส ก็ยิ่งรู้เข้าไปเรื่อย ๆ
การที่เราดูสภาพจิต จิตที่ยิ่งใสขึ้น เป็นตัวบอกอะไร ? เป็นตัวบอกว่า จิตที่ใสครั้งแรกกับครั้งหลังนี่ เป็นจิตดวงเดียวกันหรือคนละดวง ถ้าเป็นจิต ดวงใหม่ เป็นตัวบอกว่ายังใสได้อีก แม้แต่ความใส ก็ยังมีใสกว่า ใสแล้วใส อีก ใสแล้วก็ยังมีใสมากขึ้นอีก จิตที่ใสเองก็ยังมีความแตกต่าง... ยิ่งใส ยิ่ง มีกาลังมากขึ้น ? ยิ่งว่าง ยิ่งใสมากขึ้นหรือเปล่า ? นี่คือการดูสภาพจิต ดู


































































































   188   189   190   191   192