Page 195 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 195

171
ต้องมีสติรู้อยู่กับปัจจุบันให้มาก ๆ “รู้อยู่กับปัจจุบัน” รู้อะไร ? ก็คือ “รู้รูป นาม” นั่นแหละ อย่างที่เราปฏิบัติกัน ดูกายดูจิตของเรา รู้ว่าร่างกายเป็น อย่างไร จิตเป็นอย่างไร สภาพจิตใจเราเป็นอย่างไร กาลังคิดอะไรอยู่ จิตใจ ขุ่นมัว จิตใจเศร้าหมอง ฯลฯ
การรู้อาการเกิดดับของร่างกาย มีสติไปในกาย มีอยู่ ๒ ส่วน ๑) เวลาเรานั่งเจริญกรรมฐาน เรานั่งสมาธิ เราก็พิจารณาดูลมหายใจเข้าออก ดู อาการพองยุบ อาการที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา อาการเต้นของหัวใจ หรือ อาการเกิดดับของรูป ดูว่าเขาเกิดดับเปลี่ยนแปลงยังไง การพิจารณาตรงนี้ เขาเรียก “ภาวนามยปัญญา” พิจารณาถึงการเปลี่ยนไป เห็นเขาเกิดดับ เปลี่ยนไปในลักษณะอย่างไร บางทีกาหนดดูลมหายใจเข้าออกแล้วมัน หายไป ค่อย ๆ น้อยลง บางลง หมดไป พอดูที่ตัว ดูรูปอันนี้ทั้งหมด ตัว ของเราค่อย ๆ บาง ค่อย ๆ จางหายไป ตัวหายไปหมด เหลือแต่ความว่าง อย่างเดียว
นี่คือ “ภาวนามยปัญญา” ปัญญาเห็นความไม่เที่ยง เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของรูปนาม เห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปนาม เห็นความว่างเปล่า เห็นความไม่มีตัวตนของกาย ของจิตเรา ที่กาลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย อยู่เนือง ๆ ยิ่งพิจารณายิ่งเห็นว่า “รูปนามอันนี้เป็นของว่างเปล่า” ไม่มีใคร เป็นเจ้าของ ไปยึดเอาว่าเป็นของเราไม่ได้ เขาประกาศตัวให้เห็นจริง ๆ ว่า เป็นอย่างนี้
การที่จะเห็นถึงความไม่มีตัว คือรูปหายไป ตัวหายไป กับเห็นว่า ไม่มีเรา เห็น “ความเป็นอนัตตา” ตรงนี้ ไม่ได้เกิดได้กับทุกคน เกิดเฉพาะ กับบุคคลผู้มีปัญญาพิจารณาอาการเกิดดับของรูปนาม หรือที่เรียกว่า “เจริญ วิปัสสนา” เท่านั้นเอง ที่จะเห็นได้และชัดเจน ถ้าไม่พิจารณา ไม่มีเจตนา ไม่ กาหนดรู้ หรือไม่ได้เจริญกรรมฐาน ก็จะเกิดได้ยาก คือจะไม่เห็น ถามว่า อนัตตาก็เป็นของเขาอยู่ แต่ไม่เห็นนี่ จะเรียกว่าเกิดได้ไหม ? จะเรียกว่ามี


































































































   193   194   195   196   197