Page 206 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 206

182
ต้นจิตไม่ทันเลยวันนี้... ไม่ได้! ไม่ใช่แค่นั้น! ไม่ทันต้นจิต แต่ทันอาการมากขึ้น สติดีขึ้น นั่นก็ถือว่าเป็น “ผลดี” ที่ตามมา สิ่งเหล่านี้ต้องรู้! รู้ว่าทาแบบนี้ ผล ที่เกิดขึ้นมาเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น การพิจารณาว่า การปฏิบัติของเรา ก้าวหน้ามากขึ้นหรือเหมือนเดิม หรือเราปฏิบัติแล้วเราได้อะไรบ้าง มีสิ่งที่เรา ต้องพิจารณาอยู่ ๒ อย่างคือ “สภาพจิต” เราเปลี่ยนไปอย่างไร ? อันนี้เรา พิจารณาเองได้นะ สภาพจิตใจเราเปลี่ยนไปอย่างไร รู้สึกดีอย่างไร อันนี้เรา ต้องบอกตัวเอง เรารู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปอย่างไร อันนี้เราต้องรับรอง บอก ตัวเองได้
แต่อาการพระไตรลักษณ์ หรือสภาพจิต อย่างเช่น ความสงบ ความ ใส หรืออาการเกิดดับที่เกิดขึ้นนี่ อาจารย์ต้องพิจารณา อย่างที่บอกแล้วว่า มี ปัญญาอยู่ ๒ อย่าง ภาวนามยปัญญากับจินตามยปัญญา จินตามยปัญญานี่ เรารับรองตัวเองได้ เพราะต่างคนต่างมีมุมมอง มีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ ว่าโดยภาวนามยปัญญานี่ สภาวะจะเป็นแบบเดียวกัน อาการพระไตรลักษณ์ ที่เกิดขึ้น ถ้าถึงตรงนี้ สภาวะก็จะเป็นแบบนี้ นั่นล่ะคือสิ่งที่ต้องเล่า
บางทีโยคีจะเล่าแต่ความเข้าใจหรือความรู้สึกดี แต่สภาวะเล่าน้อย บางคนเล่าแต่สภาวะอย่างเดียว แต่ไม่เล่าถึงความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้น ก็จะ กังวลอยู่ว่า ทาถูกไหม ? ทาผิดหรือเปล่า ? ทาได้หรือเปล่า ? กลายเป็นอย่าง นั้นไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือว่า ถ้าเราปฏิบัติแล้ว จิตเรารู้สึก ดีขึ้น มีกาลังขึ้น ตื่นตัวมากขึ้น มั่นคงขึ้น สงบขึ้น ถึงแม้ไม่เห็นอย่างที่ อาจารย์บอก ก็ไม่ใช่ว่าผิด แต่ให้รู้ว่าทาอย่างไร แต่ถ้าทาอย่างที่บอกแล้ว ผลเป็นแบบนี้ แบบนี้ แน่นอน! สภาวะก็จะไม่ถอยหลัง ถ้าทาตามนั้นจริง ๆ เขาก็จะเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็คือ ทาบ้างไม่ทาบ้าง ทาได้หน่อยหนึ่ง แล้วก็หยุด
เราปฏบิ ตั ธิ รรม เราเอาจรงิ สตติ อ้ งมคี วามตอ่ เนอื่ ง ใสใ่ จอยา่ งตอ่ เนอื่ ง แล้วสภาวะเราก็จะต่อเนื่อง มันจะไม่มีอาการถอยจนหมดรูป อย่างน้อย


































































































   204   205   206   207   208