Page 278 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 278

254
ที่ตัวบาง ๆ ก็เดินเสียงดังสนั่น สังเกตไหมว่า เมื่อเราแยกรูปนาม ให้จิต กว้างกว่ารูป รูปที่เคยหนักกลับว่างเปล่าและเบาไป เพราะอะไร ? นี่คือ อุปาทานที่ถูกละไป หรือคลายไป โดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น มีสติ รู้ชัดใน อารมณ์ที่เกิดขึ้น ในสิ่งที่เราทา การปฏิบัติธรรมต้องมีเจตนาชัดเจนว่า เรา ตามรู้อะไร ดู “จิต” หรือ ดู “อาการของรูป”
กลับมาที่อารมณ์หลัก เราตามรู้อาการของพองยุบหรืออาการของ ลมหายใจเข้าออก เขาเปลี่ยนแปลงอย่างไร ? ต้องมี “เจตนา” ถ้าไม่มี เจตนา รู้แต่พองยุบ พองหนอ.. ยุบหนอ.. พองหนอ.. ยุบหนอ... สังเกตดู ว่า ถ้าเรารู้แค่ พองหนอ.. ยุบหนอ... สติเราอยู่ที่เดียวกับพองยุบ หรืออยู่ ข้างนอก ? เรากลายเป็นผู้ตามดู หรืออยู่ที่เดียวกับอาการ ? ถ้าทาวิจัย สติ จะต้องอยู่ “ที่เดียวกับ” อาการ จะได้เห็นชัดว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ไม่ใช่แค่รู้ว่าเปลี่ยนแปลง แต่รู้ว่าเปลี่ยนอย่างไร เร็ว ช้า ชัดมากขึ้น หรือบาง ลง จางลง น้อยลง หรือว่าพองยุบหายไปหมดแล้ว อันนี้ก็ต้องรู้ชัด
เคยไหม บางครั้งหาพองยุบไม่เจอ ? มี ใช่ไหม ? เพราะอะไร ? ไม่ใช่เพราะสติอ่อน บางครั้งรู้สึกหายังไงก็ไม่เจอ ตรงที่เราหา สติเราอ่อน หรือเปล่า ? รู้ชัด ใช่ไหม ? ไม่ใช่อ่อน! แต่พองยุบหายไป เพราะจิตเรา ละเอียดขึ้น มันเริ่มเพิกบัญญัติ จะไปสู่ปรมัตถ์ ไปสู่ความว่างแล้ว พองยุบ หายไป ก็จะมีอารมณ์อื่นเกิดมาแทน ได้สังเกตไหม มีอะไรเกิดขึ้นมา ? บางครั้งมี “ความคิด” ขึ้นมา แต่บางครั้งไม่มีความคิด กลับว่าง ๆ เลยหา อะไรไม่เจอ ทีนี้จะทายังไง ?
อันนี้สาคัญมาก ๆ สาหรับนักปฏิบัติ ส่วนใหญ่ก็คือ พอพองยุบ หายไป แล้วหาอารมณ์ให้กาหนดไม่เจอ จะรู้สึกว่าไม่ดีแล้ว ไม่มีอารมณ์ หลักให้กับจิต ยิ่งไม่มีความคิด ไม่มีเวทนา มัน “ว่าง” อย่างเดียว ก็จะรู้สึก ว่าเป็นสมถะหรือเปล่า ? สังเกตดี ๆ ในความว่างนั้นลึก ๆ แล้ว เขามีอะไร อยู่ ? มีอาการอย่างไรเกิดขึ้นหรือไม่ ? นี่คือสิ่งที่โยคีต้องสังเกต พอเรามี


































































































   276   277   278   279   280