Page 304 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 304

280
มีเป้าหมายแค่อยากปฏิบัติไปอย่างนั้นแหละ หรือปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ ? ฉะนั้น ต้องมีความมุ่งมั่น
เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าของเราเป็นหลัก เป็นแม่แบบว่า เหตุใด พระองค์ทรงสละราชสมบัติ แล้วมุ่งสู่ความหลุดพ้น ปรารถนาความหลุดพ้น อย่างแก่กล้า ? เห็นไหม ต้องมีความมุ่งมั่นจริง ๆ เราไม่รู้หรอกว่าบุญกุศล บารมีที่เราทามากี่ภพกี่ชาติแล้ว เพราะเราจาไม่ได้ แต่อย่างหนึ่งที่เรารู้ได้ ก็คือว่า ถ้าเราไม่เคยทามาก่อน เราจะไม่สนใจว่าคาสอนของพระพุทธเจ้า คืออะไร ถ้าเราไม่เคยฟังมาก่อน เราจะฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าธรรมะดีอย่างไร เพราะฉะนั้น อย่างน้อยเราก็ได้สั่งสมมาบ้าง เหลือแต่ทางไปข้างหน้าว่าเราจะ เดินจริง ๆ หรือเปล่า ? ปรารถนาที่จะดับทุกข์จริง ๆ ไหม ? นั่นต่างหาก!
อย่างเช่น เวลาที่เราเข้ามาในนี้ เราตั้งจิตมาปฏิบัติธรรม เราตั้งใจมา จากบ้านว่าจะมาปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติได้สองวัน เข้าวันที่สามเริ่มเซ็งแล้ว รู้สึกมันซ้า ๆ ซ้า ๆ จะดูอะไรล่ะ ? ไม่รู้จะกาหนดอะไร ? สภาวะที่เกิดซ้า ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่เราต้องกาหนดรู้ และความรู้สึกเซ็ง รู้สึกเบื่อ รู้สึกขี้เกียจ ก็เป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง เป็นสภาพจิตเรา เขาเรียก “ตัว ขี้เกียจ” ถ้าเบื่อแบบมี “เรา” เบื่อ เขาเรียกว่า “เป็นตัวกิเลส” ไม่ได้ดั่งใจ เรา มาปฏิบัติเพื่ออะไร ? เพื่อละกิเลสไม่ใช่หรือ ? อย่าให้กิเลสเป็นผู้นา ต้อง บอกตัวเองเสมอว่า “ฉันกาลังเจริญสตินะ ฉันต้องกาหนดรู้ให้ทัน!”
โอ! ไม่ทัน... เอาใหม่! มันเริ่มมาแล้ว ความเซ็งเริ่มเกิดแล้ว... กาหนด ให้ทัน! พอรู้ปุ๊บก็กาหนดทันที ไม่ต้องไปคร่าครวญ เสียเวลา! ทาไมไม่เอา สติไปกาหนดรู้ จะได้ไม่เสียเวลา ? เราคิดให้มันง่าย เราทาแบบง่าย ๆ เรา มาอยู่แบบง่าย ๆ เราสละอะไรข้างนอกมาแล้ว เรามาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อที่จะ “ขัดเกลาจิตใจ” ของเรา เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่มันกล้ากราย เข้ามาในใจเรา ให้มีสติกาหนดรู้ดูว่าเกิดขึ้นมาแล้วเขาดับอย่างไร พอมีสติ เข้าไปรู้ เขาหายอย่างไร ? นั่นแหละคือ “หน้าที่ของเรา” เมื่อเรามีเป้าหมาย


































































































   302   303   304   305   306