Page 371 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 371

347
ถ้ายังไม่ได้ดูเลย พอแน่นขึ้นมาแล้วสรุปว่ามีตัวตน กับเพราะมีตัวตนแล้ว รู้สึกแน่นขึ้นมา อันนั้นคนละอย่างกัน! เพราะฉะนั้น ต้องสังเกตนะ สภาวะ พวกนี้จะเกิดขึ้น บางขณะก็เกิดขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไม่ได้พิจารณา ไม่ เห็น จึงเป็นไปเพราะมีตัวตน
เมื่อไม่พิจารณาหรือไม่สังเกต ส่วนใหญ่ก็เป็นไปด้วยความเคยชิน ความชานาญ ใช้คาว่า “ความชานาญ” ชานาญในการมีตัวตน เรื่องความมีตัว ตนนี่เก่งนะ สังเกตไหม พระพุทธเจ้าบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ทุกอย่าง เป็นอนัตตา แต่ว่าเราฝึกจนชานาญเรื่องความเป็นอัตตา ที่เรียกว่า “เป็น อนุสัยกิเลส” สืบทอดมาหลายภพชาติ ตัวฉัน! พอลืมตาขึ้นมา ก็เป็นฉัน! พอเริ่มศึกษาปุ๊บ ของกู! ของฉัน! เป็นอย่างนั้นตลอด ก็เลยเป็น เรา เรา เรา เรา... ก็เลยชานาญในความเป็นเรา
คนที่ฝึกฌานเก่ง ๆ แค่คิดก็เข้าฌานได้ เขาเรียก “เป็นวสี” ชานาญ ในการเข้าฌาน เราต้องฝึกให้ชานาญในการปล่อยวาง ฝึกให้ชานาญในการ ดับความรู้สึกว่าเป็นเรา ดับความเป็นตัวตนให้เร็ว อ้ะ! มาแล้วนะ หน้าตา แบบนี้ ตัวตนชัด ๆ เลย หน้าดา ๆ นี่ พอเริ่มมีตัวตน ห้ามโกรธนะ! ถ้าโกรธ ขึ้นมานี่ ให้อาหารเขาเต็ม ๆ เลย พอเริ่มไม่พอใจ แล้วเราก็โกรธ หงุดหงิด ต่อ เขาได้รับอาหารเต็ม ๆ เลย
พระพุทธเจ้าตรัสอุทานขึ้นมา ตรงที่พระพุทธเจ้าแยกชัดว่ารูปนาม เป็นคนละส่วน เห็นขันธ์ ๕ แยกส่วนกัน แล้วเห็นจิตจริง ๆ จิตที่ว่าง จิตที่ เบา จิตที่สงบ หรือจิตที่ไม่มีตัวตน แต่เมื่อมีอารมณ์เข้ามากระทบแล้ว ความขุ่นมัวเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้ารู้ทัน ใช้คาว่า นี่แน่ะ! นายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะสร้างเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป! พออุทานอย่างนั้น ขึ้นมา กิเลสมันไม่กล้าเข้าใกล้หรอก มันก็ถอยไปเอง กิเลสมันขี้อายเหมือน กันนะ...
ที่มันไม่ยอมไป เพราะเราเชิญเขาเข้าบ้าน พอเกิดขึ้นปุ๊บ อ้อ! ยินดี...


































































































   369   370   371   372   373