Page 444 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 444

420
คือตอนหลับ ถ้าหลับสนิท เราว่าง ไม่มีอะไรให้รับรู้ แต่ถ้ายังไม่หลับ จะมี อารมณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมาให้รับรู้ ความเย็นร้อนอ่อนแข็งเคร่งตึง สัมผัสกาย รูปเรารู้สึกตึง ๆ ความเย็นผ่านมาแบบแผ่ว ๆ บาง ๆ หรือมีความร้อน รอบ ๆ ตัว นั่นคือสภาวะที่เราต้องรู้ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นั่นแหละคือ อารมณ์ที่ต้องกาหนดรู้ว่าเขาเปลี่ยนอย่างไร เกิดแล้วหายอย่างไร ไม่ใช่ว่าง ๆ นิ่ง ๆ อย่างเดียว และในความว่างนั้น ถ้าสังเกตดี ๆ แล้วรู้ชัดว่าว่างนี่ เรา จะเห็นเป็นความว่างที่มัว ๆ สลัว ใส มืด ๆ สงบ...
เมื่อไหร่ที่เห็นว่าสลัว อาการสลัวเปลี่ยนอย่างไร ? เขาก็จะมีการ เปลี่ยนแปลง เห็นว่ามืด พอนิ่ง เข้าไปรู้ในความมืด ความมืดก็จะมีการ เปลี่ยนแปลง ถ้ามีความใส ว่าง ๆ ใส ๆ นิ่ง แล้วไปรู้ความใส ความใสก็ เปลี่ยนแปลง นั่นคือสภาวะที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่รู้สึกว่าง ๆ นิ่ง ๆ สลัว แล้วเราก็เฉย ๆ ไม่มีเจตนาที่จะรู้หรือรู้ให้ชัด มันก็จะนิ่งอยู่อย่างนั่นแหละ ไม่ตื่นตัว เพราะฉะนั้น การปฏิบัติที่จะให้ต่อเนื่อง ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าง ๆ ลองสังเกตให้ดีว่าว่างแบบไหน จะหลับตาหรือลืมตาก็ได้
พอหลับตารู้สึกมัว ๆ สลัว พอลืมตารู้สึกสว่างขึ้น ให้ลืมตาไปก่อน จะได้ไม่หลับ ให้ดูไปเลย แต่ถ้าหลับตาปุ๊บ มืด พร้อมที่จะหลับเมื่อไหร่ ก็ ลืมตาดูก่อน ลืมตาแล้วดูขณะไหนแล้วจิตเราตื่น ลืมตาเรามองไปข้างหน้า ความรู้สึกไปกระทบต้นไม้ปุ๊บ มันดับแบบนี้ เบา ๆ พอหันซ้ายดับแบบนี้ หัน ขวาดับแบบนี้... ตรงนี้แหละเรามีเจตนาที่จะรู้ถึงการเห็น การรับรู้แล้วดับ รู้ แล้วดับ... ไม่ต้องหลับตาก็ได้ สักพักพอสติเรามีกาลังมากขึ้น สายตามัน จะทอดต่าแล้วมันจะหลับลงเอง แล้วอาการเกิดดับปรากฏขึ้นมาแล้วรู้ต่อ นี่ คือความต่อเนื่องของสภาวะที่เกิดขึ้นเวลาเราปฏิบัติ
เพราะฉะนั้น ถามว่า นั่งหลับตาหรือลืมตาดี ? ดีทั้งสองอย่างนั่นแหละ ถ้าลืมตาแล้วมีสติ หลับตาแล้วไม่หลับ เห็นอาการเกิดดับ หลับตาแล้วหลับ ผล็อยไปเลยก็ไม่ดี หลับตาแล้วมีสติ สภาวะชัดเจน หลับตาน่ะดีแล้ว ลืมตา


































































































   442   443   444   445   446