Page 46 - Bang rak
P. 46

39




                                ฮ.ศ.1319 ( ปีพ.ศ.2442) ระหว่างปกครองหมู่บ้านต้นส าโรงสืบทอดจากเช็คฮารูณผู้เป็น
                       บิดาผ่านมาหลายปีทางรัฐบาลโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เห็นว่าที่ดินริมฝั่งแม่น้ า
                       เจ้าพระยาด้านทิศตะวันออก ซึ่งทางทิศใต้ติดกับสถานฑูตประเทศฝรั่งเศส ทางทิศเหนือติดกับวัดม่วง
                       แค ผืนนี้ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชมชาวไทยมุสลิมที่มีชือว่า หมู่บ้านต้นส าโรงนี้ เป็นท าเลที่เหมาะแก่

                       การที่จะใช้เป็นสถานที่สร้างกรมร้อยชักสาม หรือโรงเก็บภาษี ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น       กรมศุลกากร
                       เพราะสมัยนั้นการน าสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศโดยทางเรือ และที่ดินผืนนี้อยู่ใกล้แหล่งความเจริญ
                       ของพ่อค้าวาณิชย์รัฐบาลจึงส่งเจ้าหน้าที่มาเจรจากับ ฮัจยียูซุบ (ตวนโส) ขอแลกเปลี่ยนที่ดินที่ดินริมฝั่ง
                       น้ าทั้งหมดกับที่ดินที่เป็นที่ดินของต้นส าโรง โดยมีเงื่อนไขยินยอมอนุญาตให้ชาวบ้านเดิมที่ต้องย้ายจาก

                       ริมน้ าเข้ามาอยู่ด้านในมีสิทธิ์ผ่านเข้าออกไปท่าน้ าเจ้าพระยาหน้ากรมร้อยชักสาม (กรมศุลกากร) โดย
                       เสรีได้ทุกเวลา และให้มีสิทธิ์ใช้ท่าน้ าเหมือนเดิม
                                  ชาวหมู่บ้านต้นส าโรง ที่เคยอยู่ริมน้ าจึงได้ถอยเข้ามาอยู่ยังที่ใหม่ห่างจากฝั่งแม่น้ า
                       ประมาณ 100 เมตรเศษจนเป็นหมู่บ้านฮารูณตราบเท่าทุกวันนี้ เมื่อย้ายเข้ามาแล้วมัสยิดที่ย้ายมาก็ยัง

                       มาปลูกเป็นเรือนไม้เหมือนเดิม
                                  เวลาผ่านพ้นไปจนถึง ฮ.ศ.1324 ( ปีพ.ศ.2447) ฮัจยียูซุบ (ตวนโส) จึงด าริที่จะสร้าง
                       มัสยิดใหม่จากเรือนไม้มาเป็นอาคารโบกอิฐถือปูนเพื่ออุทิศแก่ผู้บิดา เช็คฮารูณ ผู้ล่วงลับไปแล้วจึงสละ

                       ทรัพย์สินส่วนตัวโดยขายที่ดินข้างสุสานฝรั่งสีลมไปส่วนหนึ่ง เป็นเงิน 180 ชั่ง น ามาสมทบในการ
                       ก่อสร้างมัสยิดใหม่ด้วย ผู้สมทบสร้างมัสยิดมีทั้งชาวหมู่บ้านต้นส าโรงช่วยกันลงแรง และทรัพย์ ยังมีอีก
                       ส่วนหนึ่งจากแขกนอก คือพ่อค้าวาณิชย์ชาวอินเดียหลายตระกูลที่เข้ามาใช้มัสยิดนี้บางท่านได้ตั้งถิ่น
                       ฐานอยู่ในหมู่บ้านจนจบชีวิต ณ ที่แห่งนี้ท่านเหล่านั้นได้คอยเกื้อหนุนมัสยิดเสมอมา
                                  ในสมัยนั้น มัสยิดที่สร้างขึ้นใหม่นั้นเป็นที่กล่าวขวัญถึงความกว้างขวาง ศิลปกรรม

                       แกะสลักไม้เป็นตัวภาษาอาหรับอยู่บนหน้าต่างประตูทุกบานมีตัวไม้เขียนเป็นภาษาอาหรับ อัลกูรอ่านซู
                       เราะห์อัลฟาติฮะห์ ติดไว้โดยรอบเป็นศิลปกรรมภาพสะท้อนจากก าแพงด้านซ้ายจะเห็นตัวภาษา
                       อาหรับเขียนกลับด้านได้บรรจงวิจิตรยิ่งนักมีเมียะหรอบท าด้วยไม้แกะสลัก และมิมบั๊รที่ถูกบรรจงแกะ

                       ด้วยไม้ ให้สีเขียวสลับทองหาค่ามิได้ ตัวอาคารมองจากภายนอกเป็นปูนฉาบสีชมพู มิใช่สีทา (แต่สมัย
                       หนึ่งทรุดโทรมมากจึงได้ซ่อมแซม และทาสีขาวแทนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน) ขอบหน้าต่างด้านนอกและ
                       ชายคาวิจิตรด้วยปูนปั้นซึ่งยังคงเหลือให้เห็นแต่ปัจจุบันตัวอาคารก็ถูกดัดแปลงให้กว้างขวางเพื่อรองรับ
                       ผู้มาท าละหมาดได้มาก

                                  ในสมัยนั้น มัสยิดหลังนี้ยังถูกเรียกชื่อว่า“มัสยิดหลังโรงภาษี”หรือ“มัสยิดวัดม่วงแค”
                       ตามภาษาชาวบ้าน เพราะมัสยิดนี้มาสร้างใกล้กับวัดม่วงแคซึ่งมีอยู่มาก่อน
                                  เมื่อราวปีพ.ศ.2490 รัฐบาลได้ตรากฎหมายเพื่อรองรับมัสยิดอิสลาม เพื่อให้เป็นนิติ
                       บุคคล และมีคณะกรรมการเข้ามารับผิดชอบจึงได้ออกกฎหมายเรียกว่า “พระราชบัญญัติมัสยิด

                       อิสลาม” และด าเนินการตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ผู้ร่วมดูแลมัสยิดสมัยนั้นจึงได้ยื่นจดทะเบียนตาม
                       พระราชบัญญัติเป็นมัสยิดที่2 ของประเทศไทย โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เป็นบิดาของฮัจยียูซุบ
                       บาฟาเด็ล คือ เช็ค ฮารูณบาฟาเด็ล ตั้งแต่วันนั้นมามัสยิดซึ่งมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานนี้จึง
                       ได้รับการตั้งชื่อ และจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม
   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51