Page 205 - หนังสือเมืองลับแล(ง)
P. 205

ุ
               ลาวพระบางนับแต่ควันมุกขี้ฝุ่นกุ้มลอยบังบดแสงตาวันยามตอนได้ล่วงเข้ายามแลงจึงเบาบางตาลง กันมาถึงจล
               ศักราชได้ ๘๑๓ ตัว ศาสนาล่วงไปแล้ว พุทธศักราชได้ ๑๙๙๔ ปี ในปีรวงเม็ด เดือน ๖ เหนือ เป็ง ๑๐ ค่ำ ยาม
                                                                                                     ิ
               ตะวันลับลงแลง ฟ้าฮ่ามแดงดั่งสีผ้าบันธุกัมพะอินตา ดั่งเตวดามายายผ้าแดงงามหยาดจากฟ้าสวาดลงดน รอ
               รับต๋นพลเศิกช้ามาเสนาหลวงหลายก็ย่ำเถิงเขตแคว้นเวียงสระหนองหลวง เป็นเหตุอันวิเสกสุกใสชาวเวียงสระ

                                                         ้
                                      ั
               หนองก็พากันให้ห่มขวัญกลว พระญาก็สั่งพลเศิกเขาล้อมตีเอาเวียง ตนแก้วกุ้มหลาพระญาเวียงหนองก็กุมพล
                                                                                  ้
               เข้าสู่ใคว่นับข้าวได้ ๒ วัน ฝูงชายหาญพลเศิกแลชาวเวียงก็วำวายตายละ เรือนนอนโฮงหอแลพิหารอารามใหญ่
               น้อยก็ไหม้หมองต้องเหล้มปืนไฟอันใหล่ดั่งห่าฝน ฝ่ายตนองค์คำพญาเชียงไหม่ก็มีใจอิ่นดูขูณาด้วยชาวพารา

               ใหญ่น้อยทั้งหลายก็ล้วนดวยสืบสายเครือเชื้อชาวโยนเถิงกัน ด้วยว่าชาวพาราทั้งหลายลุกมาแต่เวียงเชียงราย
                                     ้
               หนเหนือแลเวียงละกอนม่อนข้าง นับแต่ถูกม้างกวาดเทลงมา ก็พากันร่ำเปิงไหว้อนระวิงว่าพี่จำห่างน้อง พ่อจำ

                                                           ้
               ห่างแม่ อาวจำห่างหลาน กับทั้งตนเจ้าเกล๊ากุมหัวก็ลานเป็นแต่ญาตวงศา จึ่งสั่งห้ามดังเจ้าเมืองละกอร แตพล
                                                                       ิ
                                                                                                       ่
               เศิกดาบมั่นนับได้ ๕๐ คน ตีฝ่าหักด่านกุมเวียงเข้าโจมจับ กุมเอาเจ้าแก้วกุ้มหล้าแลญาติวงศา มากระสัตย์
               สาบานสืบเชื้อเคลือสายเดือน ๖ เหนือ เป็ง ๑๓ ค่ำ ก็เข้าได้เวียง ตนพระญาฟ้าฮ่าม เจ้าช้างติโลกะมหาราชาจง
                                                                                                         ึ
               ยั้งตั่งพลเศิกบนดอยม่อนแก้วเจติยะพิหารอาราม เถิงยามเดิก ตนคำเจ้าช้างเวียงพิงคนทีก็ทะรงสุบินนิมิตฝัน

               เถิงยังพายตนพระญายี่กุมกวามแก้ววงเมือง ยืนย่ำไห้ แลออกปากจ๋าว่า ตัวข้าหนีละจากบ้านจากเวียงมาด้วยใจ
                                                                                          ู
               บ่ตงในศีลบ่กินอยู่ในธัมม์กระทำการอันทุกรขีณาเถิงยังญาติวงศาพี่น้องแลชาวพาราลุ่มใต้ ฝงเขาทงหลายก็พา
                                                                                                ั้
                  ั้
               กันจ่มแช่งด่าเคียดโกธาบั่นบ้า เป็นทุกขตะกัมม์ติดตัวข้านี้สืบมา แม้ว่าตัวข้านี้จักกระทำการอันเป็นกุศล
               ทั้งหลายก็จักบ่สมเร็จดั่งใจหมาย ยามตกวำตายคว่ำหน้า ก็วนเวียนสังขานุจิตตาอยู่ในบ่วงอบาย ตกเป็นพาย
                                                                                      ่
               เฝ้าเวียง ทุกรเขียนทรมาน ขอเจ้าหลานตนฟ้าฮ่ามเจ้าช้างจุ่มผายโผดส่งบุญหลวงมาชวยก้ำจิ่มเตอะ ว่ามีพระ
                                                                        ้
                                                            ั
                                                                                                    ็
               ธาตุเจ้าองคำอันพญาฟานเขาคำตัวกล้าได้รับจากพระสมมาสัมพุทธเจาตนยอดเกล๊าสัพพัญญ ยามสรเดจลงมา
               จุมปูโลกหล้ามีพระญาอินตาเสกขะอูบคำกุมไว้ พญาฟานเขาคำตัวกล้าก็ได้กาบมาฝังลับลงไว้ยังข่วงแก้วนั้น แล
               ขอเจ้าตนหลานป๋งปั๋นหล่อพิมพาสารูปเจ้าองค์โคตมะแลหื้อจุขะอูบธาตุพระพุทธเจ้าลงยอดเกล้าเหนือสริพิมพา
                                                                                                   ิ
               สารูปนั้น แลหยาดน้ำหมายตานส่งผลานิสงส่งกำหื้อข้าเข้าสู่ยังทิพพะมานเวียงแก้ว ด้วยจักมาปกห่มโอบอ้อม

               ชาวเวียงนี้แลเจ้าตนหลานฟ้าฮ่ามติโลกะราชาเจ้าช้างก็จักมีไชยชำนะเหนือพระญาเมืองใต้ตีเอาเชลียงเวียง
               ไธยมาอยู่ใต้ตัวปาระมี ก็มีนั้นแล กันพายเจ้าพญาแก้ววงเมืองยี่กวามจ๋าความสำเร็ด พระญาเจ้าจางเชยงใหม่ก็
                                                                                               ้
                                                                                                  ี
               ตื่นจากสุบินนิมิตฝัน ก็ออกมาผามยั้งอัน ปักล้อมยังม่อนพระเจติยาธาตุเจ้าจึงออกเวียนทักขีณานุวัตรไหว้สายัง

               พระเจติยาธาตุเจ้า แลเกิดเหตุมังคลาพิเสกสุกใส เกิดแสงธาตุแก้วขาวนวลเป่งวะ ดวง ๑ ลักขณาดังหน่วย
               หมากลอยเล่นลมลุกมาแต่ข่วงพิหารสายดือเวียง อีกดวง ๑ ลอยลุกมาแต่จอมเจติยาเจ้า แก้วแสงงามใสลอย

               เล่นวนขึ้นลงแลลอยเล่นแวดเวียงลอยขึ้นเหนือ ล่องลงใต้แลขึ้นเหนือได้สามหน ก่อนลอยแยกแตกลงจมบน

               แผ่นดินแม่ข่วงงาม ๑ แลลอยลับลงบนจอมเจตยา ๑ พระญาเจ้าช้างฟ้าฮ่ามตโลกะมหาราชา ก็โสมนัสสายินด  ี
                                                      ิ
                                                                               ิ
               จึ่งบอกหมื่นด้งนคร หาญคำลือเวียงละกอร หาญคงเสนเวียงสระ แลพลเศิกชายหาญนับ ๕๐ คน แล่นลัดลง
               ม่อนแก้วดอยธาตุ ข้ามแม่น้ำห้วยแก้วจุมปูปาส้มป่อง เถิงยังข่วงอารมสายดือเวียงแลไล่ขุดคดยังข่วงแก้วนั้น ก็
                                                   ่


                                             การวิเคราะห์วรรณกรรมเมืองลับแล
                                                        หน้า ๕๕
   200   201   202   203   204   205   206   207   208   209   210