Page 525 - หนังสือเมืองลับแล(ง)
P. 525

ปัจจุบัน เช่น ในมูลบทบรรพกิจกล่าวถึงเสียงสระไว้เพียง ๑๕ เสียง ได้แก่ อา อิ อี อึ อื อุ อู เอ แอ ไอ ใอ โอ
                                                                                                       ่
               เอา อำ อะ ผู้เขียนจึงไม่นำกล่าวถึงในหัวข้อนี้ แต่จะนำมากล่าวถึงในเรื่องอักขรวิธี ในที่นี้จึงจะกล่าวถึงเรือง
                                                                                                      ่
               เสียงในภาษาไทยแต่พอสังเขปเพียงเพื่อให้มีความเข้าใจพื้นฐานร่วมกันก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องอักขรวิธีตอไป
               ทั้งนี้เพราะตัวอักษรต่าง ๆที่ปรากฏในภาษาเขียนก็มีเพื่อแทนเสียงในภาษาพูดนั่นเอง

                       เราสามารถสังเกตความต่างของเสียงสระและพยัญชนะได้โดยทดลองเปล่งเสียงสระและพยัญชนะ
                                        ี
                                                                                           ี
               ซึ่งจะพบว่าเราสามารถออกเสยงสระไดสะดวกและต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น ให้ลองออกเสยง [อา] หรือ [อี]
                                                ้
               แบบต่อเนื่องสักครึ่งนาที แต่เราไม่สามารถทำแบบเดียวกับเสียงพยัญชนะได้ เช่น เสียง [พ] (ไม่ใช่เสียง [พอ]
               แบบที่เราหัดอ่าน [พอ อา พา] เพราะจริง ๆ แล้ว [พอ] จะประกอบด้วยเสียง [พ] บวกกับเสียงสระ [ออ] เสยง
                                                                                                       ี
                                            ี่
                                                                                                      ี่
               [พ] เฉย ๆ คือ เสียงที่เกิดจากการทเราปิดปากให้สนิทแล้วเปดปากให้ลมออกทันท) ทั้งนี้เพราะเสยงสระทเกิด
                                                                                               ี
                                                                                   ี
                                                                 ิ
               จากการปล่อยลมออกจากหลอดลมผ่านทางปากโดยให้ลมออกได้อย่างต่อเนื่อง ความต่างของสระต่าง ๆ เกิด
               จากการวางระดับและตำแหน่งลิ้นที่แตกต่างกัน ส่วนเสียงพยัญชนะ ลมที่ออกมาจะถูกขัดขวางไม่ให้ออกได ้
               ต่อเนื่องโดยสะดวก จะมีการเคลื่อนของลิ้นไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งในช่องปากเพื่อขัดขวางทางเดินของลม
                       ที่กล่าวมาเป็นเพียงเสียงสระและพยัญชนะ บางอาจสงสัยว่าแล้วเสียงวรรณยุกต์ไปอยู่ที่ใด เสียง
               วรรณยุกต์นั้นไม่เหมือนกับเสียงพยัญชนะหรือเสียงสระที่เกิดจากการปล่อยลมออกจากหลอดลม แต่เสียง
               วรรณยุกต์นั้นเป็นระดับสูงต่ำของเสียงที่แฝงไปในแต่ละพยางค์ การผันเสียง คา ข่า ข้า ค้า ขา ได้เป็นตัวอย่างท ี่

               แสดงให้เห็นถึงพยางค์ที่มีเสียงพยัญชนะและเสียงสระเหมือนกันคือเสียง [คา] แต่ต่างกันที่เสียงวรรณยุกต  ์
               เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมาตรฐานมีห้าเสียงที่เรียกว่า เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียง
               จัตวา
                       เนื่องจากกลไกการออกเสียงของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องของการใช้สรีระมนุษย์ซึ่งมนุษย์ใด ๆ ก็มีเหมือนกัน

               จึงสามารถอธิบายด้วยหลักเกณฑ์สากลเดียวกันได้ นักภาษาศาสตร์จึงได้ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเพื่อใชเขียนแทน
                                                                                                 ้
               เสียงต่าง ๆ ในภาษามนุษย์ เรียกว่า IPA (International Phonetic Alphabets) หรือสัทอักษร ตำราทาง
               ภาษาศาสตร์โดยทั่วไปจะนิยมใช้ตัวสัทอักษรเช่น t∫ m u แต่ละตัวอักษรจะแทนเสียงหนึ่งเสียง ไม่มีการใช ้
                                                ี่
                                                                                    ั
               ซ้ำซ้อนกัน แต่ในที่นี้เพื่อให้ผู้อ่านทั่วไปทเป็นคนไทยเข้าใจง่าย บางครั้งผู้เขียนจะใช้ตวอักษรไทยแทนเสยงโดย
                                                                                                    ี
               จะใช้เครื่องหมาย [ ] ครอบคำที่ต้องการเพื่อบอกให้รู้ว่าเป็นเสียงอ่าน จะใช้สัทอักษรในกรณีที่จำเป็นต้องใช
                                                                                                      ้
                       ๓.๔.๑ เสียงสระ
                              ในที่นี้จะขออธิบายถึงเสยงสระก่อน เพราะสามารถเข้าใจได้ง่ายกว่า ดังที่กล่าวมาแลว เสยง
                                                                                                       ี
                                                 ี
                                                                                                   ้
                                                                                                        ั่
               นั้นเป็นเสียงที่เกิดจากการปล่อยลมจากหลอดลมออกทางช่องปาก ถ้าเราลองจับดูที่คอ เราจะรู้สึกได้ถึงการสน
               ของเส้นเสียงด้วยหรือที่ตำราไวยากรณ์ไทยเรียกว่าเป็นเสียงก้องคือมีการสั่นของเส้นเสียง พระยาอุปกิตศิลป
               สารกำหนดว่าเสียงสระในภาษาไทยมีทั้งหมด ๓๒ เสียง แต่เป็นเสียงสระเกินอยู่ ๘ เสียง คือ ฤ ฤา ฦ ฦา อำ ไอ
               ใอ เอา เหตุที่ท่านพิจารณาว่าเป็นสระเกินเพราะตัว ฤ ฤา ฦ ฦา นั้นเป็นสระมาจากภาษาสันสกฤต แต่จริง ๆ

               แล้วมีเสียงซ้ำกับเสียงในภาษาไทยคือ [รึ] [รือ] [ลึ] [ลือ] จึงไม่ใช่เสียงสระที่แท้จริงในภาษาไทย ส่วน อำ ใอ ไอ
               เอา นั้น ท่านกล่าวว่าเป็นเสียงที่มีเสียงพยัญชนะประกอบเป็นตัวสะกดด้วย คือมีเสียงเป็น [อัม] [อัย] [อัย] และ
               [อะ+ว] ตามลำดับ ดังนั้นเมื่อหักสระเกินแปดเสียงนี้ออกไป ภาษาไทยจึงมีเสียงสระจริงอยู่ ๒๔ เสียง ได้แก่
               อะ อา อิ อี อึ อื อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ เอียะ เอีย เอือะ เอือ อัวะ อัว



                                       การศึกษาเปรียบเทียบสมมุติฐานเมืองซาก (ทราก) ฯ
                                                         หน้า ๓๙
   520   521   522   523   524   525   526   527   528   529   530