Page 97 - หนังสือเมืองลับแล(ง)
P. 97
ทฤษฎีที่ ๓ เป็นทฤษฎีที่ได้นำเค้าโครงของเจ้านาย สมัยรัชกาลที่ ๕ มาร้อยเรียงเสนอใหม่ผสม
ุ
กับแนวคิดของพระครูสิมพลีคณานุยติ โดยเสนอว่า “ชาวลับแล (คนยวนล้านนา) เข้ามาอาศัยในที่ราบ
ั
ู่
ี
์
ื้
ั้
หุบเขาหลังจากเมืองเชยงแสนแตก พ.ศ. ๒๓๔๗ โดยถูกเกณฑผู้คนลงมาอาศยอยในพนที่ตงแต่บัดนน
ั้
เป็นต้นมา”
ั้
ึ
่
ซึ่งจากการศกษาไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่พบในท้องที่ลับแล มีความเก่าแก่ตงแตสมัยพระมหา
ั
ิ
ึ
ี
ธรรมราชาธิราชที่ ๑ คือ จารกเจดีคีรวิหาร และยงพบโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัตศาสตรที่ม่อน
์
ั
อารกษ์ เงินพดด้วง เศษภาชนะดินเผา โบราณสถานเก่าที่รางไปหลายแห่ง อันมีที่มาจากการ
้
้
้
เคลือนยายผู้คนและภัยธรรมชาต และหลักฐานอันเป็นประจักษ์พยานของวัฒนธรรมไทยวน (ลานนา)
ิ
่
ในพนที่ลับแลยังปรากฏในเอกสารใบลานธัมม์ ลักษณะทางภาษา อีกด้วย จึงเป็นไปได้ว่าเมืองลับแล(ง)
ื้
ิ
ื่
ุ
ื้
เกิดขึ้นเป็นชุมชนมาตั้งแต่ยคก่อนประวัตศาสตร์ อาจมีผู้คนโยกย้ายเข้ามาอาศัยในพนที่เรอยมา จนเกิด
เป็นเมืองหลากวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็น ไทยวน (ล้านนา), ไทใหญ่, ไทพวน, ไทใต้ (สยาม) และชาวจีน
ประเด็น ๒ ชื่อเมือง ‘ลับแล’
คำว่า “เมืองลับแล” ถูกเรยกอยางเป็นทางการในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือ
่
ี
ื
ั
ิ
ิ
้
“หนังสือทูตตอบ” ว่าเป็นเมืองขึ้นหรอเมืองบรวารของเมืองพชยอันเป็นเมืองหลักในที่ราบลุ่มแม่นำ
้
ุ
่
น่าน แตในจารกฐานพระพทธรปไม้ของพระยาพรหมโวหาร ไดบอกว่า “พระยาพรหมโวหารและนาง
ึ
ู
่
ี
ุ
ู
้
ี
สรชมไดถวายพระพทธรปไว้ที่วัดลับแลงหลวง” และใน “คร่าวสี่บท (คร่าวฮำนางชม)” ได้เรยกว่า
“ลับแลง” กับ “ลับแลงไจย” เมื่ออ่านเป็นคำไทยกลางจึงเป็น “ลับแลงไชย” หรือ “ลับแลงชัย”
ุ
แล้วพบว่าใน “ประวัติเมืองลับแล” ของพระครูสิมพลีคณานุยติ ยังกล่าวถึงคำ ๒ คำคือ “ลับ
แลหลวง” กับ “ลับแลน้อย” ซึ่งพ้องกับใบลานธัมม์ที่พบที่วัดน้ำใส ระบุว่า “ลับแลงหลวง” เป็นไปได ้
ว่าการแบ่งพนที่เรียกระหว่าง ‘-หลวง’ กับ ‘-น้อย’ ภูมิสถานของ “ลับแลงหลวง” คงหมายถึงพนที่หรอ
ื้
ื
ื้
ั้
ชุมชนเมืองใหญ่ที่ตงอยู่ทางตอนใต้ มีอาณาบริเวณในปัจจุบันคือ ตำบลฝายหลวง จนถึงตำบลชัยจุมพล
่
ุ
ื้
้
ั้
ส่วน “ลับแลงนอย” คงหมายถึงพนที่ชมชนของเมืองด่านของเมืองลับแลตงแตบ้านชายเขา
ตำบลนานกกก, ตำบลน้ำริด ไปจนถึงตำบลด่านนาขาม อำเภอเมืองอุตรดิตถ์
เมืองลับแล(ง) ประวัติศาสตร์และข้อค้นพบใหม่
หน้า ๘๕