Page 313 - การประชุม HACC Forum ครั้งที่ 13
P. 313
309
15-03 Poster Presentation นักศึกษาพยาบาลศาสตร์
ชื่อเรื่อง : ความสัมพันธ์ของการรับรู้อันตรายของควันบุหรี่มือสองและพฤติกรรมสุขภาพ กับพฤติกรรมการหลีกเลี่ยง
ควันบุหรี่มือสองของนักศึกษามหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
ผู้นำเสนอ : รชวรรณ ลิดสี กุลปริยา โชคชัยบุญมาก และคณะ โทรศัพท์ 08 8058 7916
อาจารย์ที่ปรึกษา : อาจารย์ ดร.สุดา หันกลาง
สถาบันการศึกษา : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล จังหวัดนครราชสีมา
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา : บุหรี่เป็นสิ่งเสพติดที่มีพิษภัยร้ายแรง ซึ่งนอกจากส่งผลต่อผู้สูบโดยตรง
แล้ว ยังส่งผลให้ผู้ที่สูดดมควันบุหรี่ที่อยู่ในบรรยากาศเอาพิษจากควันบุหรี่เข้าไปด้วย ทำให้เกิดอันตรายเช่นเดียวกับผู้
สูบบุหรี่ ซึ่งเรียกว่าการได้รับควันบุหรี่มือสอง ในปี พ.ศ.2560 คนไทยสัมผัสควันบุหรี่นอกบ้าน ได้แก่ สถานที่ราชการ
สถานบริการสาธารณสุข โรงเรียน/อาคารของมหาวิทยาลัย ศาสนสถาน ร้านอาหาร/ภัตตาคาร สถานที่จำหน่าย
เครื่องดื่ม สถานบริการขนส่งสาธารณะ และตลาดสดหรือตลาดนัด คิดเป็นร้อยละ 11.4, 8.1, 6.2, 2.6, 21.1, 37.0,
25.5 และ 61.8 ตามลำดับ (ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ และคณะ, 2561) คณะผู้วิจัยตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ
ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง จึงสนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้อันตรายของควัน
บุหรี่มือสองและพฤติกรรมสุขภาพ กับพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสองของนักศึกษา โดยคาดหวังว่า
ผลการวิจัยที่ได้จะนำไปสู่การส่งเสริมพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสองได้อย่างเหมาะสมให้แก่นักศึกษา
วัตถุประสงค์ของการศึกษา : 1) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้อันตรายของควันบุหรี่มือสอง และระดับพฤติกรรมสุขภาพ
ของนักศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสองของนักศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์
ของปัจจัยส่วนบุคคล การรับรู้อันตรายของควันบุหรี่มือสอง พฤติกรรมสุขภาพ และพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
มือสองของนักศึกษา
วิธีการศึกษา : ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงความสัมพันธ์ (Correlational Study) ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือนักศึกษา
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล 8 คณะวิชา จำนวน 1,907 คน คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของคอแครน
(Cochran, 1977) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 102 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ 1) แบบสอบถามการรับรู้อันตราย
จากควันบุหรี่มือสอง ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.745) 2) แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ มีค่าความเชื่อมั่น 0.86 3)
แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่มือสอง มีค่าความเชื่อมั่น 0.92 สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment
Correlation)
ผลการศึกษา : 1) กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้อันตรายจากควันบุหรี่มือสองอยู่ในระดับพอใช้ คิดเป็นร้อยละ 99.1 และ
พบว่ากลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่งมีการพฤติกรรมสุขภาพระดับไม่ดี คิดเป็นร้อยละ 55.3 2) กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการ
ป้องกัน หลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่มือสองในระดับดี ร้อยละ 61.7 และระดับไม่ดี ร้อยละ 38.3 3) พฤติกรรม
สุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (r= .47, p <
.001)
ข้อเสนอแนะ : ควรมีการศึกษาเรื่องผลกระทบของการได้รับควันบุหรี่มือสองต่อสุขภาพของนักศึกษาทั้งทางด้าน
ร่างกายและจิตใจ และศึกษาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม อันจะนำไปสู่การป้องกันและหลีกเลี่ยง
อันตรายจากการได้รับควันบุหรี่มือสองในองค์กรและชุมชนต่างๆ ต่อไป
คำสำคัญ : การรับรู้อันตรายของควันบุหรี่มือสอง พฤติกรรมสุขภาพ พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง