Page 157 - ธรรมะบรรยาย2564
P. 157

เมืองราชคฤห์ เมืองใหญ่ ๆ โต ๆ “เรามีกิจที่ต้องทำอยู่อานนท์เอ๋ยและที่นั่นเป็นที่เราเคยมรณภาพ

               หรือว่าเคยตายมาแล้ว ๗ ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๘ และเมืองนั้นเคยเจริญรุ่งเรือง เราเคยเป็นมหาจัก

               พรรดิ์ ชื่อว่า “มหาสุทัสสนะ” เมืองหงสาวดีในสมัยก่อน เพราะฉะนั้น เรามีหน้าที่จะต้องไปทำอยู่”

                     เมื่อพระองค์ได้ประกาศอย่างนี้ วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันนี้ พระองค์ก็ปลงอายุ

               สังขาร  ไม่ใช่พระองค์ไม่รู้  พระองค์รู้จะปรินิพพานที่ไหน  เวลาเท่าไหร่  พระองค์รู้  เมื่อรู้แล้วจึง

               ประกาศให้ทราบ นี่คือศาสดาเอกของโลก ที่ว่าพระองค์จะได้เสด็จมาทำธุระก็คือ มาโปรด “สุภัทท

               ปริพาชก”  สาวกองค์สุดท้าย  สุภัททะนี่มีความสงสัยมานานแล้ว  เขาก็เป็นนักบวชที่มีบุญมีวาสนา

                                                                                               ่
               บารมีมามากต่อมากแล้ว แต่ว่าปฏิบัติเลยขั้นรูปฌานไป เรียกว่าเข้าสู่อรูปฌาน เขาก็รู้วามีความสุข
               เขาก็รู้ว่าเข้าไปแล้วหมดกิเลส  เวลาออกจากอรูปฌานมาอยู่ตามปกติ  มันก็เกิดกิเลสเหมือนเดิม  ก็

                                                                                    ู่
               เลยเกิดความสงสัยก็ว่าพระอรหันต์มีจริงอยู่หรือ  ทำไมถึงเรายังมีกิเลสอย  เวลาเข้าไปอยู่ในอรูป
               ฌาน ทำไมมันสบาย สบายเหลือเกิน แต่เวลาออกจากอรูปฌานมาอยู่ปกติ มันก็ยังมีกิเลส มีโลภ มี

               โกรธ มีหลง มันยังไงกันแน่ พอได้ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเท่านั้นแหละ

               ก็เลยรีบเข้ามากราบถามปญหา
                                       ั
                     ปัญหาของท่านมีอยู่  ๓  ข้อ  แต่ขออธิบายข้อเดียว  ท่านสุภัททะกว่าจะได้เข้าไปก็โดนพระ

               อานนท์ห้าม  พระอานนท์บอกว่า  “ท่านสุภัททะอย่าเข้าไปเลย  พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก

               ตอนนี้อย่าไปรบกวนเลย” ขณะที่พระอานนท์กับสุภัททะคุยกัน พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระองค์ก็

               ตรัสว่า  “อานนท์  ให้ท่านเข้ามาเถิด”  เมื่อพระอานนท์ได้ทราบพุทธดำรัสเช่นนั้นแล้วจึงได้ตรัสกับ

               พระอานนท์ว่า “อานนท์เธอให้สุภัททะเข้ามาเถิด นั่นคือสาวกองค์สุดท้ายของเรา” พระอานนท์จึง

               ได้อนุญาตให้แก่ท่านสุภัททะ  เมื่อท่านสุภัททะเข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าตรัสว่า

               “พระอรหันต์มีอยู่ในโลก แต่ว่าต้องปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘” ท่านตรัสว่า “สำนักใดก็ตามที่มรรค

               มีองค์ ๘ สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ ก็จะมีอยู่ในสำนักนั้น ถ้าหากว่าสำนักใดไม่

               มีมรรคมีองค์ ๘ สำนักนั้นก็จะไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔”

                     สมณะที่ ๑, ๒, ๓, ๔ หมายความว่าอย่างไร ก็คือ “โสดาปฏิผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล

               อรหัตผล”  นี่คือสมณะที่  ๑,  ๒,  ๓,  ๔  เพราะฉะนั้น  สำนักของเรามีและเธออยากทราบไหมล่ะ

                                                                                   ู
               พระพุทธเจ้าก็รู้ว่าสุภัททะมีพลังจิตแก่กล้าแล้ว  แต่ว่าทำจิตให้ไปอยู่ในอรปฌาน  มันเลยหลงเป็น
               มิจฉาสมาธิ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอเอาจิตลงมาสิ เอามาอยู่ที่ฌานที่ ๔ ดำรงให้อยู่ตรงนี้ อย่าเพิ่ง

               ให้ไปไหน  แล้วเมื่อจิตมันฉุกคิดเรื่องอะไร  เราพิจารณาถึงไตรลักษณ์ให้ได้  เอาร่างกายนี้ชำแหละ

               ออกให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นยังไง แยกชิ้นส่วนของร่างกายออก มันจะได้



                                                          ๑๕๗
   152   153   154   155   156   157   158   159   160   161   162