Page 62 - เล่มโปรเจค
P. 62

49


















                                    รูปที่ 2.50 สเตรนเกจแบบโลหะ และสเตรนเกจแบบสารกึ่งตัวนำ [7]

                                 2.12.2 วงจรวีทสโตนบริดจ์

                                 เนื่องจากค่าความต้านทานที่เปลี่ยนไปมีค่าค่อนข้างต่ำ ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงนิยมนำ
                       สเตรนเกจมาใช้งานโดยต่อวงจรแบบวีทสโตนบริดจ์ดังในรูปที่  2.52
























                                     รูปที่ 2.51 แสดงการบีบอดของสเตรนเกจในวงจรวีสโตนบริดจ์ [7]
                                                          ั


                                 เมื่อทำการป้อนแรงดันให้แก่วงจรบริดวีสโตนบริดจ์ระหว่างขั้วอินพุตบวกและอินพุตลบ
                       ในสภาวะที่ยังไม่มีแรงมากระทำหรือยังไม่มีน้ำหนักมากระทำต่อโหลดเซลล์ ค่าความต้านทานของส

                       เตรนเกจภายในจะมีค่าเท่ากันทำให้วงจรบริดจ์อยู่ในสภาวะสมดุล แรงดันเอาต์พุตที่ออกมาระหว่างขั้ว

                       เอาต์พุตบวกและเอาต์พุตลบจะมีค่าเป็นศูนย์ และเมื่อมีแรงมากระทำหรือมีน้ำหนักมากกระทำต่อ
                       โหลดเซลล์ จะทำให้สเตรนเกจยืดออกหรืองอเข้าทำให้ค่าความต้านทานภายในสเตรนเกจของแต่ล่ะ

                       ตัวนั้นเปลี่ยนค่าไป ทำให้วงจรบริดจ์อยู่ในสภาวะไม่สมดุล ทำให้สามารถวัดแรงดันที่เอาต์พุตออกมา

                                                                         ี
                       ได้ ยิ่งมีน้ำหนักมากหรือวัตถุที่มากระทำต่อโหลดเซลล์มากเพยงใดก็จะทำให้ค่าความต้านทานของส
                       เตรนเกจนั้นเปลี่ยนค่าไปมากขึ้นและยังทำให้แรงดันเอาต์พุตมีค่ามากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามแรงดัน

                       เอาต์พุตที่ได้จากวงจรบริดจ์นั้นมีค่าน้อยมากจึงต้องอาศัยวงจรขยายสัญญาณเพื่อให้แรงดันเอาต์พต
                                                                                                        ุ
   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66   67