Page 113 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 113
๑๐๐
ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดและร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดได้ผ่านการ
ั
ลงมติรับหลักการตามมติของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ ๓ (สมัยสามัญประจ าปีครั้งที่หนึ่ง) วันองคารที่ ๑
กันยายน ๒๕๖๓ และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อพิจารณา ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ด าเนินการแล้ว
เสร็จ ปัจจุบันที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญประจ าปีครั้งที่หนึ่ง) วันองคารที่ ๒๒ มิถุนายน
ั
๒๕๖๔ ได้พิจารณาเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้ว
การที่ร่างประมวลกฎหมายยกเลิกข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเป็นความผิดเพอจ าหน่ายหรือ
ื่
ื่
เพอขาย เป็นการเปลี่ยนแนวทางการใช้มาตรการทางกฎหมายจากเดิมที่ใช้ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายมาเป็น
ั
ระยะเวลายาวนาน อนเป็นการกลับไปสู่หลักการค้นหาความจริงในคดีอาญาที่โจทก์ต้องแสวงหาพยานหลักฐาน
มาพิสูจน์ความผิดของจ าเลย และศาลเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยว่ามีการกระท าความผิดเกิดขึ้นและจ าเลยเป็นผู้กระท า
ความผิดนั้นหรือไม่ โดยไม่มีการใช้ข้อเท็จจริงที่น าไปสู่ข้อสันนิษฐานมาก าหนดความผิดตามที่สันนิษฐานอกต่อไป
ี
ั
จึงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพฒนาหลักการค้นหาความจริงในคดีอาญาที่ด าเนินการโดยรัฐ โดยเจ้าหน้าที่ทาง
กระบวนการยุติธรรมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เจ้าพนักงานผู้จับกุม พนักงานสอบสวน พนักงานอยการ รวมถึง
ั
ศาลยุติธรรมซึ่งเป็นองค์กรที่ท าหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดคดีและก าหนดโทษแก่ผู้กระท าความผิด ศาลยุติธรรมจึงต้อง
เตรียมความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมายตามร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด รวมถึงการก าหนดบรรทัดฐาน
ิ
ิ
แนวทางการพจารณาพพากษาคดีและการก าหนดโทษ โดยจัดให้มีการประชุมทางวิชาการร่วมกันจากตัวแทนของ
ิ
ื่
ศาลในแต่ละภาคเพอศึกษาและหาแนวทางร่วมกันในการพจารณาพพากษาคดี รวมถึงการวางมาตรฐานในการ
ิ
ก าหนดโทษให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป