Page 178 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 178
ดุลพาห
คำาพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นย่อมสอดคล้องกับแนวความเห็นของนักกฎหมายที่ว่า
ผู้กระทำาความผิดจะรับโทษหนักขึ้นก็ต่อเมื่อผู้กระทำาความผิดได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น
องค์ประกอบของความผิด และได้กระทำาโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลให้ผู้อื่น
ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำาคาญต่อหน้าธารกำานัล อันหมายถึง กระทำาโดยประสงค์
ต่อผลหรือเล็งเห็นผลว่า ตนกระทำาความผิดดังกล่าวในที่ที่ประชาชนอาจเห็นได้ตามมาตรา
๕๙ วรรคสอง ๒๓
กล่าวโดยสรุป เมื่อได้พิจารณาคำาพิพากษาศาลฎีกาและความเห็นของนักกฎหมาย
หลายท่านในแวดวงการนิติศาสตร์ทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นแล้วสำาหรับความผิดต่อหน้า
ธารกำานัล สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าการปรับใช้ความผิดต่อหน้าธารกำานัลตามมาตรา
๓๘๘ และ ๓๙๗ มีความเห็นที่สอดคล้องต้องตรงไปในทางเดียวกันว่า ผู้กระทำาความผิด
ต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดและผู้กระทำาความผิดต้องประสงค์ต่อ
ผลหรือเล็งเห็นผลว่าการกระทำาของตนเป็นการกระทำาต่อหน้าธารกำานัล จึงจะมีความผิด
ดังกล่าว แต่สำาหรับเหตุอันยอมความไม่ได้ตามมาตรา ๒๘๑ พบว่า ได้มีความเห็นที่แตกต่าง
กันของนักกฎหมายแยกออกได้เป็น ๒ ความเห็นดังนี้ ความเห็นในแนวทางแรกที่เห็นว่า
ความผิดต่อหน้าธารกำานัลต้องเป็นการกระทำาโดยผู้กระทำาต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์
ประกอบของความผิดและประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลว่าเป็นการกระทำาต่อหน้าธารกำานัล
ในขณะที่ความเห็นในแนวทางที่สองเห็นว่า ผู้กระทำาความผิดไม่จำาเป็นต้องกระทำาโดยมีเจตนา
ต่อหน้าธารกำานัล เนื่องจากธารกำานัลไม่ใช่องค์ประกอบความผิด แต่เป็นเพียงเหตุที่ทำาให้
ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตามมาตรา ๒๘๑ จะยังเป็นบทบัญญัติที่มีความเห็นแตกต่างกัน
แต่เมื่อพิจารณาถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของความเห็นทั้งสองฝ่ายจะพบว่า หากมองตามความ
เห็นในแนวทางแรกที่ผู้กระทำาความผิดต้องกระทำาโดยมีเจตนา ย่อมแปลความได้ว่า เป็นความ
เห็นที่มุ่งคุ้มครองผู้กระทำาความผิดเป็นสำาคัญอันสืบเนื่องมาจากหลักการพื้นฐานทางอาญา
ที่สำาคัญพิจารณาความผิดตามองค์ประกอบภายในและองค์ประกอบภายนอกของความผิด
แต่ละความผิด ที่แม้คำาว่า ธารกำานัล ตามมาตรา ๒๘๑ จะมิใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ
๒๓. หยุด แสงอุทัย, กฎหมายอาญาภาค ๒-๓, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ ๓, หน้า ๓๘๔.
พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๑ 167

