Page 173 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 173

ดุลพาห




                     คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๘๓๖/๒๕๔๗ แม้บางตอนจำาเลยจะได้กระทำาขณะอยู่ใน
            รถยนต์กระบะ แต่การที่จำาเลยจับมือและดึงแขนโจทก์ร่วมให้เข้าไปในห้องพักของโรงแรม

            ขณะอยู่ต่อหน้าพนักงานโรงแรมเช่นนั้นเป็นการกระทำาโดยเปิดเผยในที่ซึ่งอาจมีคนเห็นได้

            แม้ไม่มีผู้ใดเห็นในขณะกระทำานั้นก็เป็นธารกำานัลแล้ว เพราะการกระทำาต่อหน้าธารกำานัล
            มิได้หมายความเฉพาะแต่กระทำาโดยประการที่ให้บุคคลอื่นได้เห็นโดยแท้จริงเท่านั้น เพียงแต่

            กระทำาในลักษณะที่เปิดเผยให้บุคคลอื่นสามารถเห็นได้ก็เป็นต่อหน้าธารกำานัลแล้ว ดังนั้น
            เมื่อจำาเลยกระทำาอนาจารแก่โจทก์ร่วมโดยใช้กำาลังประทุษร้ายต่อหน้าธารกำานัล จึงเป็น

            ความผิดที่มิใช่ความผิดอันยอมความได้

                     คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๙๔/๒๔๙๔ จำาเลยกอดปลำ้าหญิงสาวบนถนนริมคลอง

            ซึ่งเป็นทางสาธารณะและทางหลวงในเวลากลางคืน ในขณะที่มีเด็กชายคนหนึ่งเดินอยู่
            ข้างหน้า เมื่อเด็กชายนั้นเห็นเข้าก็วิ่งหนีเสีย และยังมีชายอีกสองคนซึ่งเดินอยู่บนถนนชาย

            คลองอีกฟากหนึ่งพบเห็น ดังนี้ถือว่าเป็นความผิดที่ได้กระทำาต่อหน้าธารกำานัล

                     เมื่อพิจารณาจากแนวคำาพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้นมองได้ว่า ผู้กระทำาความผิด

            หากมีการข่มขืนผู้อื่น หรือกระทำาอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี โดยขู่เข็ญใช้กำาลัง

            ประทุษร้าย ต้องกระทำาโดยมีเจตนาต่อหน้าธารกำานัล จึงจะเป็นความผิดอันยอมความไม่
            ได้ กล่าวคือ ผู้กระทำาความผิดต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา

                         ๑๖
            ๕๙ วรรคสาม  และผู้กระทำาความผิดต้องประสงค์ต่อผลในการกระทำาของตนที่จะให้ผู้อื่น
            เห็นการกระทำาการข่มขืนกระทำาชำาเราหรือการอนาจารของตน หรือผู้กระทำาความผิดต้อง

            เล็งเห็นผลได้ว่าผู้อื่นอาจเห็นการข่มขืนกระทำาชำาเราหรือการอนาจารของตนได้ ตามมาตรา
            ๕๙ วรรคสอง  ๑๗


                     ความเห็นตามคำาพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้น ย่อมสอดคล้องกับความเห็นของ
            อาจารย์หยุด แสงอุทัย ที่อธิบายความผิดต่อหน้าธารกำานัลว่า การกระทำาในที่สาธารณสถาน

            แต่ถ้ากระทำาในเวลาที่สาธารณชนไม่สามารถเห็นได้ เช่นในเวลาคำ่าคืนดึกดื่น ไม่มีคนเดินผ่าน



            ๑๖. ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๕๙  วรรคสาม  บัญญัติว่า  “ถ้าผู้กระทำามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์
              ประกอบของความผิดจะถือว่าผู้กระทำาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำานั้นมิได้”.
            ๑๗.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรคสอง บัญญัติว่า “กระทำาโดยเจตนา ได้แก่กระทำาโดยรู้สำานึก
              ในการที่กระทำาและในขณะเดียวกันผู้กระทำาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำานั้น”.




            162                                                              เล่มที่ ๒ ปีที่ ๖๕
   168   169   170   171   172   173   174   175   176   177   178