Page 115 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 115

ดุลพาห




            ต้องมีการชำาระเงินเหมือนเช่นการทำาสัญญาประกันภัยที่ต้องชำาระเงินค่าเบี้ยประกันภัย และ
            ผู้คำ้าประกันมีสิทธิเกี่ยงในการเรียกให้ลูกหนี้ชำาระหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

            มาตรา ๖๘๗ ถึงมาตรา ๖๙๐ แต่ผู้รับประกันภัยจะไม่มีสิทธิเกี่ยงดังกล่าวเหมือนเช่นผู้คำ้า

                   ๑
            ประกัน  ดังนั้น การประกันหนี้ด้วยการมีสิทธิเรียกร้องคือมีกรมธรรม์เป็นหลักประกัน จึง
            เป็นการรับประกันภัยอย่างหนึ่ง ซึ่งมักเรียกกันสั้นๆ ว่าการประกันหนี้ และเมื่อเหตุที่เสี่ยงภัย

            ในอนาคตที่ไม่แน่นอนเป็นความรับผิดจากการผิดนัดชำาระหนี้ในอนาคตของลูกหนี้หรือของ
            ผู้คำ้าประกัน และสามารถคำานวณเป็นราคาเงินได้ตามยอดหนี้ที่ค้างชำาระ เหตุที่เสี่ยงภัยดังกล่าว

            จึงเป็นวินาศภัย และเป็นสัญญาประกันวินาศภัย แต่ถ้าเงื่อนไขการใช้เงินเป็นการเข้าชำาระหนี้
            ที่อาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคล ก็จะกลายเป็นการประกันชีวิต ต่อมามีคำาพิพากษา

            ฎีกาที่ ๔๕๗๗/๒๕๖๑ วินิจฉัยวางหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา

            ๘๖๑ ใหม่ จึงทำาให้เกิดคำาถามมากมายตามมา และเป็นที่น่าสนใจในทางทฤษฎีกฎหมายเพื่อ
            ค้นหาคำาตอบและพิสูจน์ความถูกต้องของหลักกฎหมายที่ใช้ในคำาพิพากษาฎีกาดังกล่าว


            ๑. ประเด็นปัญหา


                     เมื่อหลักประกันการชำาระหนี้คือกรมธรรม์ ซึ่งเป็นการประกันภัยในความรับผิด

            จากการผิดนัดชำาระหนี้ในอนาคตของลูกหนี้หรือของผู้คำ้าประกัน อันเป็นการประกันภัยอย่าง
            หนึ่ง เกิดถูกตั้งคำาถามว่ามีลักษณะเป็นการรับประกันวินาศภัยหรือไม่ หรือเป็นการประกันภัย

            อย่างอื่นที่ไม่ใช่ประกันวินาศภัยขึ้นมา ตามที่ปรากฏในคำาพิพากษาฎีกาที่ ๔๕๗๗/๒๕๖๑
            ระหว่าง ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โจทก์ กับนางสาวนิภาพรรณ ฮาบสุวรรณ กับพวก

            จำาเลย ซึ่งมีข้อเท็จจริงตามประเด็นแห่งคดีว่า จำาเลยที่ ๒ ผู้คำ้าประกัน เอาประกันภัยความ

            รับผิดตามสัญญาคำ้าประกันของจำาเลยที่ ๒ ไว้แก่จำาเลยร่วมซึ่งบริษัทประกันภัย ต่อมาจำาเลย
            ที่ ๑ ผิดนัด โจทก์บอกเลิกสัญญา จำาเลยร่วมให้การต่อสู้ว่า ความรับผิดของจำาเลยร่วมเป็นการ

            ประกันวินาศภัยและขาดอายุความ ๒ ปี แล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การทำาสัญญาประกันภัย คู่
            สัญญาอาจกำาหนดเงื่อนไขในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นเหตุวินาศภัย หรือเหตุอย่างอื่นที่

            มิใช่วินาศภัยก็ได้ แล้วแต่ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยจะตกลงกัน คำาว่า วินาศภัยตาม

            ๑.  จิตติ ติงศภัทิย์, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, (สำานักพิมพ์ มหาวิทยาลัย
                ธรรมศาสตร์: ๒๕๔๓) น.๑๒., ไชยยศ เหมะรัชตะ, คำาอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย
                ประกันภัย, พิมพ์ครั้งที่ ๖ (สำานักพิมพ์นิติธรรม: ๒๕๕๖) น.๓๐-๓๑., จรัส พวงมณี และประพันธ์ ทรัพย์แสง,
                คู่มือกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย, (แสวงสุทธิการพิมพ์: ๒๕๑๙) น.๖.



            104                                                              เล่มที่ ๓ ปีที่ ๖๕
   110   111   112   113   114   115   116   117   118   119   120