Page 158 - Publicationa15
P. 158
150 ไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์
หลักแห่งความเสมอภาคได้ปรากฏเป็นที่ยอมรับและน�าไปปฏิบัติ
ซึ่งมีผลเป็นการผูกพันองค์กรของรัฐที่จะต้องเคารพและปฏิบัติตาม โดยในการ
ปฏิบัติตามหลักการดังกล่าวมีหลักเกณฑ์กว้างๆ ดังนี้
(1) ต้องใช้กฎเกณฑ์อันเดียวกันกับทุกคน เว้นแต่ว่าสถานการณ์
แตกต่างกันไปหลักเกณฑ์ทั่วไปของการปฏิบัติ คือ ต้องใช้กฎเกณฑ์เดียวกันใน
สถานการณ์เดียวกัน เว้นแต่ว่าสถานการณ์นั้นแตกต่างออกไป จึงเป็นการ
ต้องห้ามแก่ผู้บัญญัติกฎเกณฑ์ที่จะต้องไม่ออกกฎเกณฑ์ให้มีผลไม่เสมอภาค
แก่บุคคล กล่าวคือ เหตุการณ์ที่เหมือนกันหรือที่เหมือนกันในสาระส�าคัญนั้น
ต้องได้รับการปฏิบัติโดยกฎเกณฑ์เช่นเดียวกัน แต่หากมิใช่เรื่องที่มีสภาพการณ์
อย่างเดียวกันก็สามารถปฏิบัติให้แตกต่างกันได้ ดังนั้น กฎเกณฑ์ที่มาบังคับใช้
แก่บุคคลซึ่งออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารย่อมมีเนื้อหารายละเอียด
และผลบังคับที่แตกต่างกันไปได้ เช่น ความเสมอภาคในการได้รับบริการ
สาธารณะจากรัฐ ประชาชนทุกคนสามารถใช้บริการรถเมล์ของรัฐอย่าง
เสมอภาคทุกคนซึ่งเป็นหลักความเสมอภาคอย่างกว้างๆ อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่
การที่รัฐก�าหนดราคาตั๋วรถไฟเป็นชั้นหนึ่ง ชั้นสอง และชั้นสามตามปัจจัยทาง
เศรษฐกิจของแต่ละคนที่แตกต่างกันไปตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองว่า
บุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
เท่าเทียมกัน
(2) การใช้กฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันนั้น ต้องมีความสัมพันธ์กับสาระ
ส�าคัญของกฎเกณฑ์นั้น การใช้กฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันนั้น ต้องค�านึงถึงสาระ
ส�าคัญของกฎเกณฑ์ คือกฎเกณฑ์ที่จะน�ามาใช้ต้องมีความสัมพันธ์กับข้อเท็จจริง
ที่เกิดขึ้น ดังนั้น ถึงแม้จะอยู่ในสถานะที่เหมือนกัน แต่ข้อเท็จจริงอันเป็น
สาระส�าคัญนั้นแตกต่างกันแล้วกฎเกณฑ์ที่น�ามาใช้บังคับนั้นต้องแตกต่างกัน
ไปด้วย แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นสาระส�าคัญและอยู่ในสถานะที่เหมือนกันแล้ว
กฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับนั้นจะต้องเป็นกฎเกณฑ์เดียวกัน เช่น กฎหมายบ�าเหน็จ
บ�านาญก�าหนดให้ข้าราชการต้องรับราชการ 10 ปี ขึ้นไป จึงจะมีสิทธิรับ
บ�าเหน็จบ�านาญ ฝ่ายนิติบัญญัติจะออกกฎหมายบัญญัติให้ข้าราชการ ซึ่ง
รับราชการเพียง 2 ปี ที่ผู้บังคับบัญชาเห็นควรยกย่องให้ได้รับบ�าเหน็จบ�านาญ
_17-0315(141-177)8.indd 150 4/27/60 BE 11:57 AM